Intuitive Eating คือ อะไร ? กินยังไงให้ถูกต้อง ไม่ทำร้ายสุขภาพ !

หนึ่งในสาเหตุของโรคอ้วนที่สำคัญ ก็คือการกินอย่างไม่ระมัดระวัง เช่น กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ชอบกินของหวานที่มีน้ำตาลสูง และรวมไปถึงการขาดการออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เรามีน้ำหนักตัวมากขึ้นได้ จึงทำให้หลายคนมองหาวิธีไดเอ็ทเพื่อลดน้ำหนัก หรือต้องการดูแลรูปร่างเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งวิธีการลดน้ำหนักนั้นมีหลายวิธีแต่บางวิธีอาจจะยากเกินไปสำหรับบางคน หรือคนที่มีข้อจำกัดในการกิน วันนี้เรามีอีกหนึ่งวิธีในการดูแลรูปร่างที่ไม่ต้องอด แต่ยังกินได้ตามปกติ วิธีนี้เรียกว่า Intuitive Eating และเพื่อให้สาวๆ เข้าใจวิธีการมากขึ้น เราจะพาไปรู้จักว่ากินแบบไหนไม่อ้วน และ Intuitive Eating คือ อะไรค่ะ

Intuitive Eating คือ อะไร ? กินยังไงให้ถูกวิธี

Intuitive Eating คือการกินที่เรียกว่า กินตามสัญชาตญาณ นั่นหมายความว่าคุณสามารถกินอาหารทุกประเภทได้ แตกต่างจากการลดน้ำหนักแบบทั่วไปที่จำกัดหรือห้ามอาหารบางชนิด การกินแบบ Intuitive Eating คือวิธีการกินที่จะทำให้คุณไม่ต้องคำนึงถึงว่าอาหารนั้นดีหรือไม่ดี เพียงแต่ฟังเสียงร่างกายของคุณและกินอาหารที่เหมาะกับคุณแทน

แต่การกินแบบ Intuitive Eating นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกินอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ หรือกินได้ทุกเวลา แต่การกินแบบนี้นั้นหมายถึงการใช้สัญชาตญาณตามธรรมชาติของร่างกายเพื่อบอกคุณเมื่อคุณหิวหรือมีความอยาก โดยช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่อาหารที่เหมาะกับสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณมากที่สุด ไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องเลือกกินจนเกินไป แต่เลือกให้เหมาะสม ทั้งประเภทอาหารและปริมาณ โดยเน้นไปที่เป็นการกินที่มีความสุข

กินแบบไหนไม่อ้วน ?

แม้ว่าคุณจะเคยผ่านการลดน้ำหนักในรูปแบบต่างๆ มาแล้ว เช่น งดกินอาหารประเภทใดประเภทหนึ่ง นั่นอาจไม่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ในระยะยาว เพราะหากการควบคุมอาหารของคุณไม่ดีพอ หรือคุณต้องจำกัดอาหารบางชนิดเป็นเวลานานๆ ร่างกายของคุณอาจไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นเพื่อให้ร่างกายทำงานได้ดีที่สุด และสำหรับบางคนการอดอาหารบ่อยๆ อาจนำไปสู่ความผิดปกติของการกินและระบบเผาผลาญได้ เพราะฉะนั้น กินแบบไหนไม่อ้วนนั้น ขอแนะนำวิธีการกินแบบ Intuitive Eating ค่ะ

วิธีการกินแบบ Intuitive Eating คือกินอย่างไร ?

วิธีการกินแบบ Intuitive Eating ให้ถูกวิธีนั้น หลักการปฏิบัติของมันคือ “กินเมื่อคุณหิว” โดยเชื่อมั่นในร่างกายของคุณและอนุญาตให้ตัวเองกินเมื่อรู้ว่าหิว คุณสามารถกินอาหารได้หลากหลายเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายเราจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน คุณจะเลือกกินเมนูกิมจิลดน้ำหนัก หรือกินพิซซ่าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องงดแป้ง น้ำตาล หรือไขมัน แต่กินในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป และอย่ามองข้ามความหิวของตัวเอง เพราะถ้าคุณอดและปล่อยให้ตัวเองหิวนานๆ เมื่อคุณทนไม่ไหว คุณจะกินมากขึ้นจนเกินความจำเป็น และเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จนนำไปสู่น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้ ลองหันมาให้ความสนใจกับอาหารที่คุณต้องการกิน และประเมินระดับความหิวของคุณเพื่อดูว่าคุณต้องการกินมากกว่านี้หรือไม่ และใช้เวลาในการลิ้มรสเวลากินอาหาร เมื่อคุณรู้สึกพอใจและมีความสุข ร่างกายก็จะบอกว่าอิ่มและพอแล้ว

นอกจากนี้ควรเลือกอาหารที่ทำให้คุณกินแล้วรู้สึกดี เพราะการอดอาหารบางชนิดอาจทำให้เกิดความอยากอาหารอย่างรุนแรงและอาจนำไปสู่การกินมากเกินไป การกินอาหารแบบ Intuitive Eating คือการเลือกอาหารที่ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพและต่อมรับรสของคุณ อย่างเช่น ช็อคโกแลตหนึ่งคำจะไม่ทำให้คุณอ้วนในชั่วข้ามคืน คุณสามารถกินมันได้ถ้ามันจะทำให้คุณรู้สึกพอใจหรือมีความสุข แต่ระวังการกินเพื่อสนองอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวล ความเหงา ความโกรธ หรือความเบื่อหน่าย การกินแบบนี้จะไม่สามารถแก้ปัญหาที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเหล่านี้ได้ และอาจทำให้คุณกินผิดวิธีหรือกินมากเกินไปอีกด้วย

คำแนะนำ และข้อควรระวังในการกินแบบ Intuitive Eating

แม้ว่าการกินแบบ Intuitive Eating คือการกินตามสิ่งที่คุณต้องการได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ นั่นหมายความว่า คุณสามารถกินได้ตามความพึงพอใจ แต่เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกอิ่มแล้ว ได้กินสิ่งที่อยากกินจนพอใจแล้ว ให้หยุดกิน อย่าพยายามกินต่อจนอิ่มเกินไป หรือจนจุก เพราะนั่นหมายความว่า คุณกำลังกินอาหารในปริมาณที่เกินกว่าที่ร่างกายต้องการ พยายามฟังเสียงจากร่างกายของคุณให้มาก กินให้พอดี ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน นอกจากนี้ลองค้นหาวิธีออกกำลังกายที่คุณชอบ เปลี่ยนโฟกัสจากการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก เป็นความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า แข็งแรง และมีชีวิตชีวา จะทำให้คุณบาลานซ์การกินและการออกกำลังกายได้อย่างมีความสุข

DIY INSPIRE NOW คือแรงบันดาลใจของฉันให้หันมาดูแลสุขภาพหรือเปล่า ? การกินให้ถูกวิธี ไม่ต้องอด ไม่ต้องจำกัด ชอบวิธี Intuitive Eating ที่สามารถกินสิ่งที่อยากกินได้ ในปริมาณที่จำกัด เพื่อให้มีสุขภาพดีได้ทั้งกายและใจกันหรือเปล่า ลองมาคอมเมนต์พูดคุยกันนะคะ ♡

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : healthline.com, webmd.com

Featured Image Credit : freepik.com/ArtPhoto_studio