GUEST : คุณปรางทอง เตียงเกตุ (คุณรุ้ง)
อดีตเภสัชกรสาว ผันตัวมาเปิดร้านกาแฟที่ชื่อว่า “Din Cafe” คาเฟ่ที่เป็นพื้นที่ผ่อนคลายของคนทุกเพศทุกวัย
ถ้าพูดถึงพื้นที่ผ่อนคลาย แต่ละคนจะนึกถึงอะไรกันบ้างคะ ? พื้นที่ผ่อนคลายของเราเป็นแบบไหน จะเป็นมุมโซฟาแสนนุ่ม เตียงนอนอันแสนสบาย ร้านกาแฟสวยๆ หรือจะเป็นชายหาดริมทะเล สำหรับคุณรุ้งแล้ว พื้นที่ผ่อนคลายของเธอก็คือ การได้อยู่กับธรรมชาติ ซึ่งเป็น วิธีผ่อนคลายอารมณ์ ผ่อนคลายกายใจของเธอเอง และการทำร้าน Din Cafe ก็เป็นการสร้างพื้นที่ผ่อนคลายให้กับทั้งตัวเองเองแล้วก็ลูกค้าด้วย เรากำลังพูดถึงคาเฟ่ที่ทำจากดินและไม้ ใช้วัสดุจากธรรมชาติในการก่อสร้างเป็นหลัก ทั้งยังเป็นพื้นที่สีเขียวโล่งกว้างที่ช่วยให้ความผ่อนคลายกับคนทุกเพศทุกวัย เป็นคาเฟ่ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนมานั่งจิบกาแฟที่บ้านเพื่อน มีเครื่องดื่มหลากหลายเมนู พร้อมเบเกอรี่และเมนูอาหารแบบโฮมเมด ใช้วัตดุดิบคุณภาพดี โดยเฉพาะผักที่เป็นผักออร์แกนิกปลอดสาร อะไรเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของคุณรุ่งในการสร้างคาเฟ่ที่เป็นพื้นที่ผ่อนคลายแห่งนี้ ไปพูดคุยกับเธอให้มากขึ้นกัน
ชวนพูดคุยเกี่ยวกับ วิธีผ่อนคลายอารมณ์ และ Ways to Relax ในแบบฉบับของคุณรุ้ง ปรางทอง เจ้าของพื้นที่ผ่อนคลายอย่าง Din Cafe
เรานัดคุยกับคุณรุ้งที่ Din Cafe ร้านกาแฟของเธอเอง คาเฟ่แห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองออกมาประมาณ 14 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าไม่ไกลนัก อยู่ปากทางเข้าทางไปสะเมิงใต้ ภายในร้านมีสนามหญ้าโล่งกว้างเพื่อให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น มีสะพานลื่นและของเล่นเด็กที่ทำจากดิน มีชิงช้าไม้ และโซนจิบกาแฟ Outdoor ใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่ ซึ่งแผ่ร่มเงาและสร้างความเย็นสบายให้กับบริเวณโดยรอบ ทั้งยังมีโซนใต้ถุนบ้านไม้ที่ให้ความรู้สึกเหมือนมานั่งจิบกาแฟอยู่บ้านเพื่อน และโซน Indoor ที่เป็นอาคารสองชั้น ทำจากดิน ไม้ ไม้ไผ่ และวัสดุก่อสร้างโมเดิร์นอยากอิฐและปูนสผมผสานกันอย่างลงตัว เป็นคาเฟ่ที่ดูแปลกตาต่างจากร้านกาแฟสไตล์โมเดิร์นที่มีมากมายในเชียงใหม่ มาพูดคุยกับคุณรุ้งเกี่ยวกับการทำร้านของเธอให้มากขึ้นกันค่ะ
1. ลองเล่าเกี่ยวกับตัวเองสั้นๆ ให้ฟังหน่อย ตอนนี้ทำอะไรอยู่คะ
เราให้เธอแนะนำตัวเองว่า เธอเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ เธอนิ่งไปสักพัก พร้อมกับเปิดดูโน้ตในโทรศัพท์ตัวเองแล้วบอกกับเราว่า “ถ้าถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ เราก็ต้องเปิดดูโน้ตเหมือนกันว่าเราทำอะไรบ้าง เพราะตอนนี้เราทำหลายอย่างมาก” คุณรุ้ง ปรางทอง เตียงเกตุ อายุ 30 ปี ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูกสอง และดูแลร้าน Din Cafe เป็นหลัก นอกจากนี้ เธอยังทำอะไรหลายอย่าง ทั้งดูแลร้านขายยา ร้านขายผ้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติในพื้นที่ร้าน Din Cafe เป็นหุ้นส่วนร้านชาพม่าที่เปิดขายในตัวเมืองเชียงใหม่ คอยซับพอร์ตบริษัทสถาปนิกของแฟน และกำลังวางแผนโปรเจกต์ใหญ่ที่ชื่อว่า สังกะดี สเปซ ตั้งอยู่ที่อำเภอสันกำแพง ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เอาไว้จัดงานอีเว้นท์เกี่ยวกับผ้า หรือการทำ Workshop ต่างๆ แต่ในอนาคตคุณรุ้งบอกว่า จะทำเป็นที่พักเพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาพักและเรียนรู้วิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ แต่โดยรวมแล้ว เธอบอกกับเราว่า ร้าน Din Cafe คือสิ่งที่เธอจะต้องรับผิดชอบมากที่สุด เกือบจะ 100% และบริหารจัดการร้านแห่งนี้ให้ธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. ก่อนจะไปพูดถึงบทบาทในฐานะการเป็นเจ้าของร้าน Din Cafe ช่วยเล่าชีวิตในวัย 10 ปีให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ มีแนวคิดอยากทำธุรกิจตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า ?
คุณรุ้งเล่าให้ฟังว่า เธอเกิดและเติบโตที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 150 กิโลเมตร เป็นอำเภอเล็กๆ ตั้งอยู่หลังดอยอินทนนท์ ความจริงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ของเธอเป็นคนกรุงเทพฯ ทั้งคู่ แต่ย้ายไปอยู่ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เธอจึงเติบโตที่นั่นจนกระทั่งถึงชั้น ป.6 และย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ ในตอนที่อยู่แม่แจ่มนั้น บ้านของเธอเป็นสถานที่ทอผ้าที่คนในชุมชนจะมานั่งทอผ้ากัน อย่างผ้าซิ่นตีนจก สินค้าท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อของอำเภอแม่แจ่ม และที่บ้านของเธอก็จะรับซื้อผ้าจากชาวบ้านเพื่อนำไปขายต่อ เธอจะเห็นแม่ของเธอขายผ้าทอของแม่แจ่ม และทำธุรกิจ ทำงานอิสระ ทำโครงการของชุมชนหลายอย่างมากมาย
เธอบอกกับเราว่า “เมื่อตอนเรา 10 ขวบ เราเคยบอกแม่ว่า ถ้ารุ้งโตมา รุ้งจะทำงานประจำ” เพราะเธอเห็นแม่ทำธุรกิจซึ่งส่งผลให้มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ในวัยเด็กนั้นเธอไม่เคยได้ของขวัญวันเกิดเลย เพราะแม่ของเธอมีเงินไม่เพียงพอที่จะซื้อของขวัญให้ ด้วยเพราะการทำงานของคุณแม่ในตอนนั้นทำให้รายได้ไม่สม่ำเสมอนัก นั่นเป็นเหตุให้คุณรุ้งตั้งปฏินิธานกับตัวเองเอาไว้ว่า เธอจะไม่ทำงานเหมือนคุณแม่เด็ดขาด เธออยากจะรับราชการหรือมีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ประจำ เพื่อที่จะได้มีเงินเพียงพอ เธอไม่อยากจะทำธุรกิจ และอยากมีรายได้ที่มั่นคงมากๆ ซึ่งตั้งแต่นั้นมา คุณรุ้งก็ตั้งใจเรียนมาตลอดตั้งแต่เป็นเด็กๆ และตั้งใจว่าจะต้องได้เป็นที่หนึ่งของชั้น ต้องได้เกรดสี่เยอะๆ เธอเป็นเด็กเรียนเก่งและมักจะทำคะแนนได้อันดับ Top Three ของชั้นอยู่เสมอ เพื่อที่เธอจะได้เลือกเรียนในคณะที่สร้างความมั่นคงให้กับเธอได้ หรือไปรับราชการเพื่อจะได้มีสวัสดิการที่ดี และไม่ได้มีความคิดที่จะทำธุรกิจอะไรเลยแม้แต่น้อย
3. แล้วช่วงอายุ 20 ปีเป็นยังไง ? ก่อนที่จะมาเปิดคาเฟ่ คุณรุ้งเคยทำงานอย่างอื่นมาก่อนหรือเปล่า ?
เมื่อถึงคราวชั้นมัธยมปลายที่จะต้องเลือกสอบคณะเรียน คุณรุ้งเลือกสอบคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเหตุผลในการเลือกคณะเรียนของเธอนั้น เธอบอกกับเราว่า ด้วยเพราะเธอเป็นคนที่เรียนเก่งมาก คณะเภสัชศาสตร์เป็นคณะที่คะแนนสูงเป็นอันดับต้นๆ และเธอคิดว่าการทำงานในโรงพยาบาลนั้นจะสร้างความมั่นคงให้กับตัวเธอได้ในอนาคต ประกอบกับเมื่อตอนอยู่แม่แจ่ม คุณพ่อของเธอชอบเกี่ยวกับเรื่องของสมุนไพร และทั้งอาจารย์ – นักศึกษาจากคณะเภสัชฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็ชอบไปดูงาน ไปศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรที่อำเภอแม่แจ่มบ่อยๆ ทำให้เธอได้เห็นพี่ๆ เดินป่าศึกษาสมุนไพร แล้วตัวคุณรุ้งเองในตอนเด็ก ก็มักจะไปเล่นในพื้นที่โรงยาสมุนไพรของชาวบ้านอยู่ประจำ ทำให้เธอชอบเรื่องสมุนไพรและคิดว่าน่าจะเอามาต่อยอดในการเรียนคณะเภสัชศาสตร์ได้ แถมยังเป็นคณะที่จบออกไปแล้วมีอาชีพที่มั่นคงตามที่เธอต้องการอีกด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้ว การเรียนในคณะเภสัชศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด
“ตอนที่เราเรียน เรารู้เลยว่าเราไม่ได้มีความชอบกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย แม้แต่เรื่องสมุนไพรที่เราอยากเรียนรู้มันมากที่สุด ก็เป็นเพียงวิชาเรียนตัวเดียวเท่านั้น และจากที่เป็นคนเก่งมาตลอด พอมาเรียนเภสัช เรากลายเป็นคนที่อยู่สามอันดับสุดท้ายไปเลย” คุณรุ้งบอกว่า เธอคิดที่จะลาออกจากคณะตั้งแต่อยู่ปี 1 เทอม 1 ด้วยเพราะความยากในวิชาที่เรียน ในคลาสมีแต่คนที่เก่งมากๆ ทำให้เธอรู้สึกเครียดแล้วก็กดดันมากๆ และยังเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้รู้สึกชอบอีกด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เธออดทนเรียนมาได้จนจบก็คือ ความรู้สึกที่ว่าอยากมีอาชีพที่มั่นคงและสามารถดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่อีกต่อไป
ในระหว่างที่เรียนเภสัช ฯ อยู่นั้น ด้วยความที่เธอไม่อยากจะรบกวนเรื่องเงินกับพ่อแม่ เธอจึงเริ่มหัดทำขนมขายในช่วงประมาณปี 2 “เริ่มต้นจากการทำเค้ก คุ้กกี้ โยเกิร์ต แล้วเอาไปขาย ซึ่งเราก็เริ่มเรียนรู้เรื่องการขายของ ณ ตอนนั้น” และนั่นทำให้เธอรู้สึกว่า การขายของเป็นเรื่องที่สนุก แถมยังได้เงินอีกด้วย ในช่วงที่ไม่ได้เรียนหนักมากเธอก็จะทำขนมขายเป็นรายได้เสริม เธอบอกกับเราว่า ทักษะการขายของนี้เธออาจจะได้จากแม่ของเธอมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเห็นแม่ขายผ้าให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่แม่แจ่มอยู่ประจำ และเธอก็ต้องช่วยแม่ขายของด้วย คุณรุ้งบอกกับเราว่าในตอนนั้นก็เห็นว่ามันสนุกดี แต่ก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่อยากจะขายของเหมือนคุณแม่ เพียงแต่ว่ามันเป็นการซึมซับตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เธอมีทักษะการทำธุรกิจที่เห็นมาจากแม่อยู่ในตัว โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเหมือนกัน
สำหรับจุดเริ่มต้นของความสนใจในธุรกิจกาแฟนั้น คุณรุ้งเล่าให้เราฟังว่า ในช่วงที่เรียน เธอชอบไปร้านกาแฟมากๆ เธอเป็น Cafe Hopper ตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นร้านสไตล์ไหน เธอก็จะไปลอง “เราชอบที่จะไปลองเพื่อเก็บข้อมูลดูว่าร้านนี้เป็นแบบนี้ๆ เวลาที่เพื่อนอยากไปร้านกาแฟ เพื่อนจะถามเราก่อนเลยว่ามีร้านแนะนำไหม” ไม่ว่าจะไปถ่ายรูป ไปนั่งทำงาน หรือไปนั่งชิล คุณรุ้งก็จะให้คำตอบเพื่อนได้เสมอว่าต้องไปร้านไหน เพราะเธอชื่นชอบการไปนั่งร้านกาแฟเป็นอย่างมาก การไปร้านกาแฟถือเป็น วิธีผ่อนคลายอารมณ์ อย่างหนึ่งของเธอ “ ณ ตอนนั้นมันเป็นแค่ความชอบเฉยๆ เราก็เลยเริ่มเรียนรู้การกินกาแฟมาตั้งแต่ช่วงปี 1 ปี 2” และในช่วงปิดเทอม ปี 3 เธอยังเคยไปสมัครงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟอีกด้วย เพราะชอบบรรยากาศร้านกาแฟจึงอยากลองทำดู โดยไปไกลถึงภูเก็ตเลยทีเดียว คุณรุ้งเล่าให้ฟังว่า เธอชอบการทำงานในร้านกาแฟมากและมีความสุขมากๆ ชอบที่จะได้คุยกับลูกค้าชาวต่างชาติ ด้วยความที่เธอชอบเรียนรู้การทำร้านหรือการทำธุรกิจ F&B (Food & Bevrage) ทำให้เธอสมัครงานพาร์ทไทม์ทั้งในโรงแรม ในร้านอาหารหรือร้านกาแฟอยู่บ่อยๆ เพื่อที่จะได้ฝึกลองทำกาแฟ ลองทำขนม ได้เรียนรู้ระบบการดูแลร้าน แต่ก็ไม่ได้มีความตั้งใจหรือมีวางแผนที่จะเปิดร้านอย่างจริงจัง เพียงแค่เป็นการลองทำให้สิ่งที่ชอบไปเรื่อยๆ มากกว่า
หลังจากที่เรียนจบแล้ว คุณรุ้งก็ได้ไปทำงานเป็นเภสัชกรที่โรงพยาบาล เราแอบถามเธอว่า เธอชอบการเป็นเภสัชกรที่โรงพยาบาลหรือไม่ เธอบอกว่า เธอไม่ได้ชอบมันเลยแม้แต่น้อย “เมื่อเราได้ไปทำงานในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่มั่นคง มีเงินเดือนทุกเดือน แต่เราร้องไห้ไปทำงานทุกวัน มันโคตรจะไม่มีความสุขเลย ไม่อยากไปทำงานเลย เราเกิดคำถามกับตัวเองทุกวันว่า เราทำอะไรอยู่ มันใช่สิ่งที่อยากจะทำจริงๆ ไหม” ซึ่งงานที่โรงพยาบาลค่อนข้างที่จะหนัก โดยทั่วไปแล้ว งานในโรงพยาบาลจะมีเป็นกะ ซึ่งก็คือกะเช้า กะบ่าย และกะดึก คุณรุ้งบอกว่าเธอต้องทำงานควบ 2 กะตลอด ประมาณ 8 โมงเช้าจนถึงห้าทุ่ม งานที่หนักมากเกินไปทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากการเป็นเภสัชกรที่โรงพยาบาลและมาทำงานเป็นเภสัชกรที่ร้าน Boots ซึ่งงานที่นี่ค่อนข้างที่จะเบากว่างานในโรงพยาบาล ได้ผ่อนคลายความเครียดมากขึ้น ชีวิตก็เริ่มลงตัวมากขึ้น และเธอก็ได้ทำงานหลายส่วน นอกเหนือไปจากการจำหน่ายยาและให้คำแนะนำลูกค้าในการซื้อยา โดยเฉพาะในส่วนการบริหารจัดการร้านและการดูแลร้านที่ทำให้เธอรู้สึกสนุกในการทำงานมากขึ้น และไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน ทำให้เธอมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น และมีรายได้ประจำตามที่เธอต้องการ สามารถดูแลตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม ความคิดที่อยากจะเปิดร้านกาแฟนั้นก็ยังคงรบกวนจิตใจของเธออยู่ตลอดเวลา และอยู่ในใจมาตลอด ประกอบกับการดูแลร้าน Boots ที่ทำให้เธอได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจ ความคิดที่จะเปิดร้านจึงค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นมา และเริ่มรู้ตัวว่า ตัวเองอยากเปิดร้านอยู่เสมอ
4. จุดเริ่มต้นในการทำร้านของเราคืออะไร ? ใช้เวลาในการตัดสินใจนานไหมในการลาออกจากงานประจำมาเปิดธุรกิจของตนเอง
เมื่อเราถามถึงจุดเริ่มต้นในการทำร้านของเธอ เธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อคราวที่ทำงานประจำอยู่นั้น มีช่วงที่เธอทำงานหนักมาก จะต้องเช็กสต็อกยาจนถึงดึกดื่น และในขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านนั้น เธอหลับใน แต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรเพราะสะดุ้งตื่นทันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอมาคิดกับตัวเองได้ว่า ถ้าเธอตายไป สิ่งใดที่เธอจะรู้สึกเสียใจมากหากยังไม่ได้ทำ เรื่องอะไรที่ยังไม่ได้ทำแล้วถ้าเกิดตายไป จะเสียใจมากที่สุด ซึ่งเธอก็ได้ตอบกับตัวเองว่า มันคือการทำร้านกาแฟนั่นเอง เพราะเธอมีความคิดที่จะเปิดร้านอยู่เสมอ ไม่เว้นแต่ตอนที่ทำงานเป็นเภสัชกร และเธอก็ได้พูดให้คนรอบข้างฟังบ่อยๆ ว่าเธออยากเปิดร้าน คนรอบตัวก็แซวเธออยู่เรื่อยว่า ทำไมไม่เปิดเสียที ซึ่งในตอนนั้นเธอไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร แต่เมื่อมีเหตุการณ์หลับในขึ้น ทำให้เธอตระหนักกับตัวเองได้ว่า มันถึงเวลาที่ต้องทำเสียที ประกอบกับได้มีการปรึกษาแฟน และแฟนของคุณรุ้งเองก็สนับสนุนให้เธอทำในสิ่งที่ต้องการ ทั้งนี้ แฟนของเธอยังเป็นสถาปนิกอีกด้วย จึงได้ออกแบบร้านกาแฟให้เธอโดยใช้บ้านเก่าของคุณป้าเป็นสถานที่ และนำมาปรับปรุงรีโนเวทใหม่ และได้น้องคนสนิทมาช่วยทำร้านกาแฟอีกแรง ทำให้คุณรุ้งได้เปิดร้านกาแฟตามที่ตัวเองใฝ่ฝันมานาน
“ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะทำร้านใหญ่โตอะไรมากมาย บอกกับน้องว่า เราทำเป็นร้านเล็กๆ แล้วขายวันละสิบแก้วพอ ทำเล็กๆ เพราะว่าทุนไม่เยอะ ประสบการณ์ก็ไม่มี ตอนแรกวางแผนว่าจะทำเป็นซุ้มเล็กๆ แต่พอดีว่าแฟนของเราทำงานเป็นสถาปนิก และเขาเชื่อว่าเราจะทำร้านได้ ก็เลยออกแบบร้านและทำเป็นบ้านดินให้เรา บอกว่า ทำห้องให้แล้วนะ ที่เหลือรุ้งไปเติมเอาเอง แล้วเราก็ได้น้องคนสนิทอีกคนมาช่วยทำกาแฟให้ ก็เลยทำให้เปิดร้านได้”
5. ช่วยอธิบายคอนเสปต์ของร้านให้ฟังหน่อยค่ะ แล้วกระแสตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนใหญ่เค้าจะพูดถึงร้านของเราว่ายังไง ในเชียงใหม่มีร้านกาแฟอยู่มากมาย คิดว่าจุดเด่นของร้านเราคืออะไร อะไรที่ช่วยดึงดูดลูกค้าได้
เธอบอกกับเราว่า ที่เธอตั้งชื่อร้านว่า “ดินคาเฟ่” และใช้ดินเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างร้านขึ้นมา เพราะเธอชอบการอยู่กับธรรมชาติ การได้อยู่กับธรรมชาติเป็นหนึ่งในวิธีผ่อนคลายอารมณ์ของเธอ เธอโตมาจากการใช้ชีวิตที่ติดดิน คุณรุ้งอยากให้ผู้คนที่มาที่นี่ได้สัมผัสกับธรรมชาติ และดินก็เป็นตัวแทนจากธรรมชาติ “เคยมีคำพูดหนึ่งที่แม่ของเราเคยสอนไว้ว่า มนุษย์ทุกคนเกิดขึ้นจากดิน สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ดินเหมือนเดิม เราก็เลยชอบคำนี้ พ่อของเราก็ทำเกี่ยวกับอาคารบ้านดินอยู่แล้ว แฟนของเราก็ชอบเรื่องดินด้วย และธุรกิจแรกของเรา ก็อยากจะให้มันเริ่มต้นจากดินเหมือนกัน” ซึ่งก็กลายมาเป็นคอนเซปต์ของร้าน นอกจากจะใช้ดินเป็นส่วนหนึ่งของร้านแล้ว ยังใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้ไผ่ ไม้จากธรรมชาติ เพราะพ่อของเธอเป็นช่างฝีมือหรือสล่าที่มีทักษะความสามารถในด้านนี้สูงมาก จริงช่วยกันออกแบบร้านกับแฟนของเธอให้ออกมามีความเป็นธรรมชาติและใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่
“เคยมีคำพูดหนึ่งที่แม่ของเราเคยสอนไว้ว่า มนุษย์ทุกคนเกิดขึ้นจากดิน สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ดินเหมือนเดิม เราก็เลยชอบคำนี้”
“เราชอบที่จะอยู่กับธรรมชาติมากๆ ด้วยเพราะเราโตที่อำเภอแม่แจ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากๆ เราเลยทำร้านออกมาเป็นแบบนี้ เหมือนเป็นการ inspire ให้กับคนที่มาที่นี่ว่า การมีบ้านที่อยู่กับธรรมชาติมันดี มีพื้นที่สนามหญ้ากว้างๆ มีในส่วนของบ้านไม้ที่สามารถนั่งจิบกาแฟใต้ถุนบ้านได้ คล้ายกับการมานั่งดื่มกาแฟที่บ้านเพื่อน ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าก็จะบอกกับเราว่า ร้านของเราสามารถพามาได้ทั้งครอบครัว มาแล้วรู้สึกไม่เกร็ง รู้สึกสบายๆ เหมือนมาบ้านเพื่อน เหมือนอยู่บ้านตัวเอง ได้มาผ่อนคลายความเครียด มีพื้นที่ให้เด็กๆ วิ่งเล่น โดยเฉพาะชาวต่างชาติจะชอบมาก เขาบอกว่าเขาชอบร้านแบบนี้ แล้วเราก็ตั้งใจทำร้านให้เป็นพื้นที่ที่ให้ทุกคนได้สัมผัสกับความเป็นธรรมชาติ มีคนถามเราว่าทำไมไม่ทำเป็นห้องกระจกใหญ่ๆ แล้วติดแอร์ให้หมด เราไม่อยากทำแบบนั้น เราอยากทำพื้นที่ที่ให้คนได้มาสัมผัสกับธรรมชาติ ได้สัมผัสกับลม เอาเท้าสัมผัสกับดินบ้าง แล้วคุณจะรู้สึกว่ามันได้ผ่อนคลายมากจริงๆ”
คุณรุ้งบอกว่า เธออยากให้พื้นที่ร้านของเธอมีครบปัจจัย 4 นอกจากจะมีในส่วนของร้านกาแฟแล้ว ในพื้นที่แห่งนี้ยังมีร้านขายผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติอย่างผ้าไหม ผ้าฝ้าย ใยกันชง ลินิน ที่ย้อมสีธรรมชาติ ซึ่งเธอกับแม่ไปรับเอามาจากวิสาหกิจชุมชนเพื่อสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในอำเภอแม่แจ่ม เธอกล่าวเสริมว่า อยากให้คนรู้จักผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติมากขึ้น และหันมาใส่เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติให้มากกว่าการใส่ผ้าที่ผลิตจากใยโพลีเอสเทอร์ซึ่งส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม มีบริษัทสถาปนิกของแฟนที่ออกแบบบ้านโดยการผสมผสานวัสดุทั้งจากธรรมชาติและวัสดุก่อสร้างปัจจุบัน ทั้งยังมีร้านยาบ้านดิน ที่เธออยากเปิดร้านยาก็เพราะว่า การมีร้านยาที่ดี สามารถช่วยเหลือคนได้จริงๆ และเธอก็อยากให้ชุมชนแห่งนี้ที่อาศัยอยู่มีร้านขายยาโดยเภสัชกร และเธอจะได้ให้คำแนะนำเรื่องยากับชาวบ้านได้ ในอนาคตคุณรุ้งวางแผนว่า จะมีการจำหน่ายยาสมุนไพรที่มาจากธรรมชาติให้มากขึ้นด้วย
6. ในความเห็นของคุณรุ้ง คุณรุ้งคิดว่า พื้นที่ผ่อนคลาย มีหมายความว่าอย่างไร และ Din Cafe มีส่วนช่วยในการสร้างความผ่อนคลายให้กับลูกค้าได้อย่างไรบ้าง
“สำหรับเราแล้ว พื้นที่ผ่อนคลาย ก็คือพื้นที่โล่งๆ กว้างๆ มีแสงแดด มีสายลม มีสีเขียวของต้นไม้ เป็นพื้นที่ที่ได้อยู่กับธรรมชาติ เรารู้สึกว่าการอยู่กับธรรมชาติมันดีมากๆ มันจะทำให้เราเห็นว่า ตัวของเรามันเล็กมาก แล้วเราก็ได้เห็นความจริงบางอย่าง ซึ่งมันเป็นความจริงของธรรมชาติ การได้เอามือมาจับดิน ได้เลอะบ้าง ได้ร้อนบ้าง มันเป็นสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง ในขณะที่ชีวิตของเราทุกวันนี้มีการปรุงแต่งมากมาย ทำให้เราไม่รู้แล้วว่าสิ่งไหนจริงไม่จริง แต่ในขณะที่เราอยู่กับธรรมชาติ ได้นั่งมองใบไม้ร่วงหล่นลงพื้น มีหนอนมากินใบไม้ ต้นไม้ผลิใบขึ้นมาใหม่ มันทำให้เราได้เห็นวัฏจักรของธรรมชาติ ทำให้เกิดการตกตะกอนทางความคิดของตัวเอง การอยู่กับธรรมชาติจะช่วยให้เราได้เห็นความจริงบางอย่าง แล้วก็ทำให้เราสามารถทำใจกับเรื่องบางเรื่องในชีวิตได้ดีขึ้น และเห็นว่ามันก็เป็นของมันแบบนั้น”
“เรารู้สึกว่าการอยู่กับธรรมชาติมันดีมากๆ มันจะทำให้เราเห็นว่า ตัวของเรามันเล็กมาก แล้วเราก็ได้เห็นความจริงบางอย่าง ซึ่งมันเป็นความจริงของธรรมชาติ การได้เอามือมาจับดิน ได้เลอะบ้าง ได้ร้อนบ้าง มันเป็นสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง การอยู่กับธรรมชาติจะช่วยให้เราได้เห็นความจริงบางอย่าง แล้วก็ทำให้เราสามารถทำใจกับเรื่องบางเรื่องในชีวิตได้ดีขึ้น และเห็นว่ามันก็เป็นของมันแบบนั้น”
เธอบอกว่า พื้นที่ผ่อนคลายในมุมมองของเธอคือ การได้สัมผัสกับธรรมชาติ ซึ่งเป็น วิธีผ่อนคลายอารมณ์ แล้วก็ผ่อนคลายทั้งกายใจสำหรับตัวเธอเอง และเธอก็อยากจะสื่อสารแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติออกไปผ่านการทำร้านของเธอ ไม่ว่าจะด้วยสถาปัตยกรรมของร้าน การมีพื้นที่สีเขียวในร้าน มีโซน Outdoor ให้รับลมธรรมชาติ หรือจากเสื้อผ้าที่เธอและแม่ของเธอขายในร้านที่เลือกเป็นผ้าจากธรรมชาติ อาหารที่ขายในร้านซึ่งเลือกวัตถุดิบอย่างผักออร์แกนิกที่ปลูกโดยวิธีทางธรรมชาติ ซึ่งเธออยากจะสื่อสารออกไปว่า อะไรที่มันเป็นธรรมชาติหรือการอยู่กับธรรมชาตินั้น มันดีที่สุดแล้ว
“การอยู่กับธรรมชาติ มันทำให้เราได้คิดถึงตัวเองน้อยลง เมื่อคิดถึงตัวเองน้อยลง ไม่ปรุงแต่งมันมาก ก็จะคิดถึงสิ่งแวดล้อมเยอะขึ้น แล้วก็จะเกิดเป็นวิถีชีวิตที่ช่วยกันรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเอาไว้ จะใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ เพราะตัวเราเองอยู่กับธรรมชาติเยอะด้วย เราเลยอยากจะสื่อสารสิ่งนี้ออกไป”
7. อยากให้แชร์วิธีการบริหารจัดการเวลา ทั้งการดูแลตัวเอง ดูแลลูกๆ แล้วก็ดูแลร้านของเราไปด้วย
เราเห็นคุณรุ้งทำหลายอย่างมาก นอกจากร้าน Din Cafe ที่เธอดูแลเป็นหลักแล้ว คุณรุ้งยังมีงานและมีโครงการอื่นๆ ในมืออีกมากมาย และที่สำคัญ เธอเป็นคุณแม่ของเด็กวัยสองขวบและสามเดือนที่กำลังอยู่ในวัยซนและวัยแบเบาะ ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เราเลยอยากจะรู้ว่า เธอมีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรถึงได้ดูสดใสและดูกระฉับกระเฉง เต็มไปด้วยพลังงานดีๆ แบบนี้ คุณรุ้งบอกว่า เธอโชคดีที่เธอมีคนรอบข้างคอยช่วยเหลือเธออยู่ตลอด ทำให้สามารถแบ่งเบาความเหนื่อยไปได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการดูแลร้านที่มีน้องๆ ในร้านคอยช่วยเหลือ ดูแลลูกค้า ทำให้ตัวเธอเองไม่ต้องเหนื่อยมากนัก และดูแลในส่วนของการบริหารจัดการมากกว่า
ในการดูแลลูกๆ เธอบอกว่า “อย่างลูกคนโตก็คือ คุณป้าแม่บ้านเค้าช่วยดูให้ แล้วก็รักลูกเราเหมือนกันเป็นลูกของเค้าจริงๆ ทำให้เราวางใจได้” สำหรับเจ้าตัวเล็กวัย 3 เดือน ก็ได้คนในครอบครัวทั้งแฟน คุณพ่อคุณแม่ของเธอ และคุณอื่นๆ ช่วยดูแลให้ในตอนที่เธอต้องมาดูแลร้านหรือทำงานอื่นๆ สำหรับคนโต เธอบอกว่า เธอพยายามเลี้ยงลูกให้ลูกช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นสไตล์การเลี้ยงลูกที่ไม่ได้ประคบประหงมมากนัก แต่ให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ได้ลองเล่น ได้ลองเจ็บ โดยเธอจะคอยมองดูอยู่ห่างๆ เธอบอกว่า เธอสร้างพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งก็คือพื้นที่ในบริเวณร้านเอาไว้แล้ว ก็เลยปล่อยให้ลูกได้ลองเล่น ลองสำรวจ และเรียนรู้ด้วยตัวเอง เราถามว่า เธอได้คาดหวังหรือคิดเอาไว้ไหมว่า เธออยากให้ลูกเธอโตมาเป็นแบบไหน เธอตอบทันทีว่า “ไม่เคย เราไม่เคยคาดหวังเลย เป้าหมายในการเลี้ยงลูกของเราคือ จะเลี้ยงให้เขามีความสุข มีสุขภาพแข็งแรงก็พอแล้ว อยากจะเป็นอะไรก็เป็น เราเคยแกล้งถามลูกนะว่า โตขึ้นมานภัสอยากเป็นอะไร อยากเป็นหมอ พยาบาล ตำรวจ ครู หรืออยากเป็นแบบพ่อ แบบแม่ เป็นเหมือนคุณยาย คุณตา ลูกบอกว่า นภัสอยากเป็นตัวนภัสเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดได้เอง เราว่ามันดีมากที่เขาอยากเป็นตัวเอง เราชอบคำตอบของลูกมาก” ซึ่งเราเองก็เห็นด้วยกับคุณรุ้งเช่นเดียวกัน
สำหรับการดูแลตัวเองแล้ว คุณรุ้งกล่าวติดตลกว่า การเป็นคุณแม่นั้น จะนอนให้พอนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก และยิ่งเป็นคุณแม่ของเด็กอ่อนด้วยแล้ว แต่เรื่องที่เธอสามารถทำให้กับตัวเองได้ก็คือ การกินอาหารที่มีประโยชน์ อย่างการเลือกกินผักออร์แกนิก หรืออาหารที่มาจากธรรมชาติต่างๆ “เมื่อก่อนเราเข้าใจว่า การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะต้องเป็นการกินอกไก่ กินสลัดเท่านั้น แต่ก็ไม่จำเป็น เพียงแค่เราเลือกกินของที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินอาหารที่หลากหลาย ก็โอเคแล้ว อย่างผักที่เราเอามาขายที่ร้านก็เป็นผักออร์แกนิก เพราะเราเองก็ต้องกิน ลูกเราก็ต้องกิน ลูกค้าก็ต้องกินด้วย เพราะฉะนั้นเราจะพยายามเลือกวัตถุดิบที่ดีมาขายในร้าน อย่างผักออร์แกนิก และผักตามฤดูกาล” เธอบอกว่าเรื่องสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เมื่อเลือกกินอาหารที่ดี สุขภาพก็จะดีตาม และสิ่งที่เธอตระหนักได้ก็คือ ความเครียดคือสิ่งที่ทำลายสุขภาพได้มากที่สุด ดังนั้น การดูแลความคิดจิตใจตัวเองก็สำคัญมากๆ “บางที Key ของมันก็คือ เราอาจจะต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขก่อน แล้วสุขภาพที่ดีจะตามมา แล้วก็เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ด้วย”
“บางที Key ของมันก็คือ เราอาจจะต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขก่อน แล้วสุขภาพที่ดีจะตามมา แล้วก็เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ด้วย”
คุณรุ้งบอกว่า การที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้หลายอย่างก็คือ การมีสุขภาพที่แข็งแรงก่อน เธอเล่าให้ฟังว่า เธอเคยป่วยครั้งหนึ่งแล้วทำอะไรไม่ได้ นั่นทำให้รู้แล้วว่าต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทั้งกายและใจ เพื่อที่จะได้ดูแลลูกๆ ดูแลร้าน และทำงานอื่นๆ ได้ แม้เธอจะทำหลายอย่างซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดบ้าง แต่เธอก็ไม่ได้เก็บเอามาคิดนาน โชคดีที่เธอมีวิธีผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเองได้และกำจัดความเครียดออกไปได้ค่อนข้างเร็ว และการทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ถึงแม้มันจะเหนื่อย แต่มันก็อยู่บนพื้นฐานของความสุข ทำให้เธอยังคงแข็งแรงและสุขภาพดีอยู่เสมอ เธอบอกกับเราแบบนั้น
8. คุณรุ้งมีวิธีผ่อนคลายอารมณ์และผ่อนคลายตัวเองอย่างไรบ้างคะ อะไรที่เป็น Ways to Relax ของเรา
เมื่อเราถามถึงวิธีผ่อนคลายตัวเอง คุณรุ้งให้คำตอบที่เรียบง่ายแต่น่าสนใจมากๆ เธอบอกว่า เพียงแค่ได้นั่งจิบกาแฟเงียบๆ ตอนเช้า และนั่งมองต้นไม้ นั่งมองธรรมชาติในบรรยากาศที่เงียบสงบ เพียงเท่านี้เธอก็รู้สึกผ่อนคลายมากๆ แล้ว “สำหรับเรามันแค่นี้เลย แค่ได้อยู่กับตัวเอง ได้นั่งมองธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดู เท่านี้ก็ถือว่าได้ผ่อนคลายแล้ว” เธอเสริมต่อว่า บางครั้งเธอก็รู้สึกเครียดกับงาน หรือมีภาวะฮอร์โมนหลังคลอดที่ยังไม่คงที่ทำให้รู้สึกอารมณ์แปรปรวนบ้าง เพียงแค่หยุดพักและเอาตัวเองออกจากจุดนั้นมาก่อน ออกมาจากห้องแล้วสูดอากาศข้างนอก มานั่งมองต้นไม้ ได้สัมผัสกับลมธรรมชาติ เพียงเท่านี้เธอก็อารมณ์ดีขึ้นแล้ว “ถ้าเรารู้สึกเครียดมากเกินไป เราก็แค่พัก โชคดีที่เรามีวิธีจัดการกับความเครียดตัวเองได้ดี สมัยตอนทำธีสิสที่จะต้องคิดหัวข้อวิจัยให้ออก ทำยังไงก็คิดไม่ออก อาจารย์ก็เลยบอกกับเราว่าให้หยุดทำและไปพักก่อน ไปนอนหลับ ไปเที่ยวเล่น หรือไปทำอะไรก็ได้เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แล้วเราก็จะคิดออกได้เอง เพราะความคิดดีๆ มันจะมักจะมาตอนที่เราได้ผ่อนคลายความเครียดหรือรู้สึกสบายใจเสมอ เราก็เลยนำสิ่งที่อาจารย์สอนในตอนนั้นมาใช้จนถึงปัจจุบัน”
“ถ้าเรารู้สึกเครียดมากเกินไป เราก็แค่พัก ให้หยุดทำและไปพักก่อน ไปนอนหลับ ไปเที่ยวเล่น หรือไปทำอะไรก็ได้เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แล้วเราก็จะคิดออกได้เอง เพราะความคิดดีๆ มันจะมักจะมาตอนที่เรารู้สึกผ่อนคลายหรือรู้สึกสบายใจเสมอ”
อีกหนึ่งวิธีผ่อนคลายที่คุณรุ้งเองไม่ค่อยได้มีโอกาสทำนัก แต่ทำแล้วรู้สึกดีมากๆ ก็คือ การเขียนบันทึก เธอบอกกับเราว่า ตัวเองเป็นคนชอบเขียนไดอารี่ และเขียนมาตั้งแต่เด็ก แต่หยุดเขียนไปในช่วงที่เรียนหนักๆ จนถึงตอนนี้ก็กลับมาเขียนบ้างนานๆ ครั้ง ในบางวันหลังจากที่ลูกๆ ของเธอหลับแล้ว เธอบอกว่า มันเป็นวิธีที่ดีที่เธอจะได้ระบายความคิดของตัวเองออกมาเป็นตัวหนังสือ เหมือนได้คุยกับตัวเอง และได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้ตกตะกอนความคิดหรือตกผลึกอะไรบางอย่าง เป็น “Me time” ที่วันไหนถ้าเธอได้ทำแล้ว จะทำให้เธอมีความสุขแล้วก็รู้สึกดีมากๆ
9. ตัวเราเดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว มีอะไรอยากจะบอกตัวเอง หรือกล่าวขอบคุณตัวเองบ้างไหมคะ
จากคนที่ไม่เคยคิดที่จะทำธุรกิจและอยากจะทำงานประจำเพื่อให้มีความมั่นคงมาตลอด จนกระทั่งกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง เราเลยถามคุณรุ้งว่า ตั้งแต่ก่อนจนถึงตอนนี้ มีอะไรอยากจะบอกกับตัวเอง หรือขอบคุณตัวเองไหม “ก็คงจะขอบคุณตัวเองที่ลงมือทำในสิ่งที่อยากทำมานานเสียที ขอบคุณที่ตัดสินใจเปิดร้าน และทำมาได้ถึงขนาดนี้ ขอบคุณตัวเองที่อดทนและทำได้ ทำให้สำเร็จ ซึ่งมันไม่ง่ายเลย และถึงแม้บางอย่างจะไม่ประสบความสำเร็จ มันก็ดีมากๆ แล้วที่ได้ลองทำ ขอบคุณตัวเองที่ยังคงสุขภาพแข็งแรง ขอบคุณตัวเองที่เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ขอบคุณตัวเองที่เปิดรับโอกาสที่เข้ามาในชีวิต และขอบคุณที่ตัดสินใจคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ เพื่อที่จะได้เรียนรู้มากขึ้น ในตอนนั้นเราอาจจะยังไม่รู้ว่าเราจะได้ใช้ทักษะนั้นๆ ในตอนไหน แต่เราก็มีโอกาสได้เตรียมตัวเองเอาไว้ก่อนแล้ว” เราถามเธอต่อว่า ร้านนี้เป็นไปตามที่เธอฝันเอาไว้ไหม เธอบอกกับเราว่า มันเกินฝันมากๆ และเธอคงไม่สามารถทำเองได้หากปราศจากการช่วยเหลือและให้การสนับสนุนจากคนรอบข้าง ทั้งแฟนที่ช่วยทำร้านให้ ทั้งน้องคนสนิทที่ช่วยในเรื่องของการทำกาแฟจนทำให้ร้านเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ รวมถึงคนรอบข้างที่คอยช่วยเหลือเธอมาตลอดด้วย
“คนที่เราอยากจะขอบคุณมากๆ ยิ่งกว่าขอบคุณตัวเองคือ คนรอบข้างและคนในครอบครัว ก่อนที่จะเปิดร้านนั้น เรายังไม่เชื่อตัวเองเลยว่าเราจะทำได้ แฟนของเรายังเชื่อในตัวเรามากกว่าตัวเราเองเสียอีก บอกว่าเราต้องทำได้แน่นอน รวมถึงน้องที่มาช่วยทำร้านตอนแรกด้วย ถ้าไม่มาช่วยในตอนนั้น เราก็คงไม่ได้ทำร้าน แล้วก็ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ปล่อยให้เราลองทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งท่านไม่เคยห้ามเลย อย่างการลาออกจากงานประจำ ท่านก็ไม่ได้ห้ามเรา ไม่เคยบังคับอะไรเลย ท่านให้เราลองเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ ให้อิสระกับเรามากๆ และไม่เคยซ้ำเติมเลย มีแต่จะให้กำลังใจและสนับสนุนตลอด รวมถึงคนในครอบครัวคนอื่นๆ และคนรอบข้างที่คอยซับพอร์ตเรา ช่วยดูแลลูกของเรา ไม่เคยมีใครที่ Toxic กับเราเลย เราคงทำอะไรหลายอย่างมากขนาดนี้ไม่ได้ถ้าปราศจากความช่วยเหลือของคนรอบข้าง”
“ขอบคุณตัวเองที่ลงมือทำในสิ่งที่อยากทำมานานเสียที ขอบคุณที่ตัดสินใจเปิดร้าน และทำมาได้ถึงขนาดนี้ ขอบคุณตัวเองที่อดทนและทำได้ ทำให้สำเร็จ ซึ่งมันไม่ง่ายเลย และถึงแม้บางอย่างจะไม่ประสบความสำเร็จ มันก็ดีมากๆ แล้วที่ได้ลองทำ ขอบคุณตัวเองที่ยังคงสุขภาพแข็งแรง ขอบคุณตัวเองที่เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ขอบคุณตัวเองที่เปิดรับโอกาสที่เข้ามาในชีวิต และขอบคุณที่ตัดสินใจคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ เพื่อที่จะได้เรียนรู้มากขึ้น”
10. สุดท้ายนี้ ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่สร้างพื้นที่ที่ให้ผู้คนมารีแลกซ์ มามีความสุขกัน อยากให้ฝากถึงคนอ่านเกี่ยวกับการสร้างความสุขหรือวิธีผ่อนคลายอารมณ์ความเครียดให้กับตัวเองหน่อยค่ะ
คุยกันถึงช่วงท้ายๆ เราเลยอยากให้คุณรุ้งฝากอะไรให้กับคนอ่านเสียหน่อย เกี่ยวกับวิธีการสร้างความสุขหรือสร้างความผ่อนคลายให้กับตัวเอง คุณรุ้งบอกกับเราว่า “ต้องง่ายให้เป็น ช่วงหลังๆ นี้เราพูดคำนี้บ่อยมาก เริ่มจากการง่ายให้เป็นก่อน ถ้าคุณง่ายให้เป็น ชีวิตมันจะง่ายขึ้นมากๆ อย่าสร้างเงื่อนไขในชีวิตให้กับตัวเองมากมายนัก หรือคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้เสมอ บางคนบอกว่า จะมีความสุขได้หรือผ่อนคลายได้ถ้าได้ไปเที่ยว ไปสถานที่สวยๆ ไปนั่งริมทะเล หรือจะต้องทำแบบนั้นแบบนี้ถึงจะมีความสุข เรามองว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็มีความสุข เราก็ผ่อนคลายความเครียดได้ มันอยู่ที่ใจของเรามากกว่า มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคนว่า จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้ไหม เราจะง่ายกับเรื่องนั้นได้ไหม จะเอาตัวเองออกมาจากปัญหาได้หรือเปล่า”
เธอเสริมว่า หากเจอเรื่องเครียดหรือเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าต้องหาวิธีผ่อนคลายอารมณ์ ก็แค่หยุดพัก พักเอาไว้ก่อน ซึ่งไม่ใช่การหนีปัญหา เพียงแค่ว่าขอพักก่อนเท่านั้น เมื่อรู้สึกดีมากขึ้นแล้วก็ค่อยกลับไปคิดต่อ และอย่าไปกดดันตัวเองมากนัก เธอบอกว่า วิถีชีวิตง่ายๆ มันจะทำให้มีความสุขมากขึ้น และอาจจะมีความสุขในทุกๆ วัน ทั้งยังรู้สึกสบายใจ โดยที่ไม่ต้องหาวิธีผ่อนคลายตัวเองเลยก็ได้ เพราะเราไม่ได้เครียดตั้งแต่แรกนั่นเอง
“ต้องง่ายให้เป็น ช่วงหลังๆ นี้เราพูดคำนี้บ่อยมาก เริ่มจากการง่ายให้เป็นก่อน ถ้าคุณง่ายให้เป็น ชีวิตมันจะง่ายขึ้นมากๆ อย่าสร้างเงื่อนไขในชีวิตให้กับตัวเองมากมายนัก หรือคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้เสมอ มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละคนว่า จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้ไหม เราจะง่ายกับเรื่องนั้นได้ไหม จะเอาตัวเองออกมาจากปัญหาได้หรือเปล่า”
Inspire Now ! : วิธีสร้างความผ่อนคลายของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป ความผ่อนคลายของบางคนอาจหมายถึงการดูหนังฟังเพลง สำหรับบางคนอาจหมายถึงการออกไปท่องเที่ยว สำหรับบางคนคือการได้อ่านหนังสือที่ชอบ หรือสำหรับบางคน อาจเป็นการได้นอนหลับในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ซึ่งแต่ละวิธีก็ไม่ได้มีถูกผิดแต่อย่างใด สำหรับคุณรุ้งแล้ว วิธีผ่อนคลายของเธอก็คือการได้อยู่กับธรรมชาติ และหวังว่าร้าน Din Cafe ของเธอ จะเป็นพื้นที่ที่ให้ทุกคนได้มาสัมผัสธรรมชาติและรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอย่างที่เธอรู้สึก เพราะบางครั้งแล้ว มนุษย์เราอาจจะอยู่กับสิ่งที่มันประดิษฐ์ปรุงแต่งมากเกินไปจนหาความผ่อนคลายในชีวิตของตัวเองไม่เจอ ถ้าใครกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เพียงแค่ออกไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟังเสียงลม เสียงใบไม้พริ้วไหว และเดินเท้าเปล่าให้เท้าได้สัมผัสกับดินและผืนหญ้าดูสักครั้ง อาจจะพบความผ่อนคลายที่ตามหามานานก็ได้นะคะ |
---|
DIY INSPIRE NOW คือแรงบันดาลใจของฉันใช่ไหม ? พื้นที่ผ่อนคลายในมุมมองของแต่ละคนคืออะไร มาแชร์กันได้เลยนะคะ ♡
สำหรับใครที่อยากไปเที่ยวร้านของคุณรุ้ง ไปจิบกาแฟและผ่อนคลายกายใจที่ Din Cafe ก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ facebook.com/Dincafe.chiangmai