ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน

10 ผลงานศิลปะ และแนวคิด ของศิลปินระดับโลก ชวนส่อง “แรงบันดาลใจ” กว่าจะเกิด Masterpiece ขึ้นมา !

สำหรับใครที่เป็นสายอาร์ตหรือชื่นชอบศิลปะ การได้ไปชื่นชมผลงานศิลปะคงจะเป็นสื่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกรื่นรมย์ผ่อนคลาย และเป็นหนึ่งวิธีที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ดี ทำให้ได้ไอเดียนำไปสร้างสรรค์ผลงานต่อไป และอาจสร้างความสุขได้กับคนๆ นั้นได้ รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้อีกด้วย สำหรับคนที่เรียนสายอาร์ตมาโดยตรง เช่น เรียนในคณะวิจิตรศิลป์ คณะศิลปกรรมฯ คงจะได้เรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะและผลงานศิลปะระดับโลกกันมาแล้ว ซึ่งผลงานชิ้นต่างๆ นั้นมักจะแสดงถึงแนวคิด แรงบันดาลใจ และสารที่ศิลปินต้องการจะสื่อออกมา ซึ่งแนวคิดบางอย่างนั้น ก็สามารถกลายมาเป็นแรงบันดาลใจหรือจุดประกายอะไรบางอย่างให้กับเราได้ จึงอยากชวนมาดู ผลงานศิลปะ และแนวคิด ของศิลปินระดับโลกว่ามีไอเดียในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างไร เอาใจใครที่เป็นสายอาร์ตหรือกำลังสนใจในผลงานศิลปะ มาดูกันเลยค่ะ

10 ผลงานศิลปะ และแนวคิด ของผลงาน Masterpiece แต่ละชิ้นงาน ได้แรงบันดาลใจมาจากไหนกันบ้างนะ

การจะสร้างผลงานศิลปะขึ้นมาในแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นศิลปินตัวเล็กๆ หรือศิลปินระดับโลก ต่างก็ต้องมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ว่าอยากจะครีเอทผลงานให้ออกมาเป็นแบบไหน ต้องการจะสื่อสารอะไรออกไป หรืออาจเป็นการระบายความคิดและความรู้สึกให้ออกมาในรูปแบบผลงานศิลปะก็ได้อีกเช่นกัน แล้วผลงานศิลปะระดับโลกที่เป็นผลงาน Masterpiece จากศิลปินระดับโลกนั้น มีไอเดียมาจากไหนหรือมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

[affegg id=4584]

1. Mona Lisa โดย Leonardo Da Vinci

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : edition.cnn.com

มาเริ่มกันที่ภาพแรกคือ ภาพวาดที่ชื่อว่า “Mona Lisa” ผลงานศิลปะของศิลปินผู้เป็นตำนานระดับโลก ลีโอนาร์โด ดาวินชีนั่นเอง และน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักภาพวาดโมนาลิซ่า ผลงานศิลปะอันโด่งดังชิ้นนี้ ภาพโมนาลิซ่า เป็นภาพวาดของหญิงสาวที่มีนามว่า Lisa Del Giocondo หญิงสาวชนชั้นสูงชาวอิตาลีในนครรัฐฟลอเรนซ์ช่วงยุค Renaissance ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาพวาดชิ้นนี้ขึ้นมาคือ สามีของเธอ เศรษฐีพ่อค้าขายผ้าที่มีนามว่า Francesco Del Giocondo ต้องการให้จิตรกรวาดภาพภรรยาของเขา ซึ่งตระกูลฟรานเชสโกนั้นก็เป็นตระกูลที่คลั่งไคล้ในผลงานศิลปะเอามากๆ และจิตรกรที่เขาเลือกให้วาดภาพภรรยาของเขาคือ ดาวินชีนั่นเอง ซึ่งภาพนี้ ดาวินชีได้รังสรรค์ออกมาเป็นภาพวาดหญิงสาวที่กำลังยิ้มน้อยๆ ดูน่าค้นหา และก็ดูลึกลับในขณะเดียวกัน และอาจเป็นความสวยงามที่เป็นแบบอย่างในอุดมคติของหญิงสาวในยุคนั้น

ทั้งนี้ ดาวินชีได้นำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ของเขาลงไปในภาพด้วย นั้นก็คือ ภาพฉากหลังที่ดูมีมิติซึ่งเรียกว่าเทคนิค Aerial Perspective ซึ่งเป็นสิ่งที่ดาวินชีมีความช่ำชองและเชี่ยวชาญมาก และยิ่งเพิ่มความลึกลับและความน่าหลงใหลให้กับภาพวาดภาพนี้มากยิ่งขึ้น ชวนให้พินิจพิจารณา ปัจจุบันภาพโมนาลิซ่าถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Louvre ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีคนเข้ามาชมภาพนี้วันละหลายพันคน ใครที่อยากเห็นรูปโมนาลิซ่าของจริง แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปดูถึงที่ ลองเยี่ยมชมผ่านพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ก่อนก็ได้นะคะ

2. The Starry Night โดย Vincent van Gogh

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : vincentvangogh.org

ภาพนี้ ก็เป็นอีกภาพหนึ่งของแวนโก๊ะที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ปัจจุบันภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่ The Museum of Mudern Art กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นผลงานศิลปะแนว Post – Impressionism โดยใช้เทคนิคสีน้ำมันในการวาดภาพ ดูเผินๆ แล้วอาจเป็นภาพที่สวยงามและชวนฝัน แสดงให้เห็นถึงความงดงามในยามราตรีของหมู่บ้าน Saint-Rémy-de-Provence ในประเทศฝรั่งเศส แต่เบื้องหลังของภาพวาดชิ้นนี้คือ เป็นภาพที่แวนโก๊ะวาดขึ้นในระหว่างที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประสาทในเมือง Saint – Remy เมืองทางตอนใต้ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งได้การกล่าวกันว่า ผลงานศิลปะ และแนวคิดของภาพนี้คือ สิ่งที่สะท้อนความเหงาเศร้าสร้อย ความโดดเดี่ยวเดียวดาย ความทุกข์ทรมาน และพลังความเคลื่อนไหวสับสนที่อัดแน่นอยู่ในตัวของแวนโก๊ะ ณ ขณะนั้น ที่แสดงผ่านฝีแปรงพู่กันอย่างมีพลัง

ประกอบกับจดหมายของแวนโก๊ะที่เขียนถึงน้องชายเกี่ยวกับภาพวาดนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเดินทางไปสู่ความตาย ดังประโยคที่บอกว่า “พวกเราสามารถไปถึงดวงดาวต่างๆ ได้ โดยการเดินทางด้วยความตายเท่านั้น” ซึ่งตัวแวนโก๊ะเอง ก็เคยตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าและมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตอย่างเรื้อรัง ไม่น่าเชื่อว่า ผลงานอันงดงามที่เป็นผลงาน Masterpiece ชิ้นนี้ มีแรงบันดาลใจมาจากความรู้สึกสับสนปั่นป่วนภายในจิตใจของแวนโก๊ะนั่นเองค่ะ

3. The kiss โดย Gustav Klimt

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : gustav-klimt.com

ภาพ The kiss หรือ “จูบ” นั้น เป็นผลงานศิลปะอันโด่งดังของศิลปินชาวออสเตรียที่ชื่อว่า Gustav Klimt โดยผลงานในช่วงนั้นส่วนใหญ่ของคลิมต์มักจะประกอบไปด้วยเทคนิคการใช้ทองคำเปลวในภาพวาดด้วย อันเป็นเทคนิคที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพโมเสกในโบสถ์ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ ที่ Basilica di San Vitale ในเมืองราเวนนา ประเทศอิตาลี ภาพนี้เป็นศิลปะแบบ Art Nouveau แสดงถึงคู่รักคู่หนึ่งที่จุมพิตกันภายใต้แสงสีทองเรืองรอง มีฉากหลังเป็นทุ่งดอกไม้และท้องฟ้าสีบรอนซ์ ชายหนุ่มอยู่ในชุดลายตาราง และหญิงสาวอยู่ในชุดที่มีลวดลายเป็นวงกลมทั่วชุด มีสีสันสดใส ทั้งสองโอบกอดกันแนบชิด ผลงานศิลปะ และแนวคิดของคลิมต์ชิ้นนี้ก็คือ คลิมต์ต้องการสื่อถึงความรักและการเติมเต็มซึ่งกันและกันระหว่างหญิงและชาย ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า คลิมต์วาดภาพตัวเองกับเอมิเลีย ลูอีเซอ เฟลอเกอ เพื่อนผู้เป็นที่รักของเขา ซึ่งภาพนี้ เป็นการแสดงความรู้สึกรักใคร่หลงใหลออกมาอย่างสวยงามและปราณีตเลยทีเดียว ปัจจุบันภาพนี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่ Österreichische Galerie Belvedere หรือ หอศิลป์เบ็ลเวเดเรอแห่งออสเตรีย ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ใครได้ไปที่เที่ยวออสเตรีย ถ้ามีโอกาส ก็อย่าลืมไปชมภาพวาดระดับตำนานภาพนี้ด้วยนะคะ

[affegg id=4585]

4. The Birth of Venus โดย Sandro Botticelli

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : artincontext.org

ภาพ “The Birth of Venus” จิตรกรรมผลงานชิ้นเอกของ Botticelli เป็นหนึ่งในภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ผลงานศิลปะ และแนวคิดของ Botticelli ที่มีต่อภาพวาดชิ้นนี้คือ การนำเสนอฉากถือกำเนิดของเทพีวีนัส ซึ่งในความเชื่อของชาวกรีกและโรมัน เทพีวีนัสถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ และยังเป็นเทพีแห่งความรักอีกด้วย ในภาพนี้ เทพีวีนัสกำลังถูกพัดเข้าสู่ชายฝั่งแห่งเกาะไซปรัส โดยมีเทพเจ้าแห่งสายลมตะวันตก และพระชายาที่เป็นเทพีแห่งมวลบุปผาชาติมารอรับพระองค์ ร่วมกับเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิที่กำลังคลี่ผ้าแพรสีสดใสเพื่อรอคลุมร่างกายของเทพีวีนัสอยู่ด้วย ทั้งนี้ ในยุค Renaissance การเปลือยกายนั้นแสดงถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ร่างเปลือยเปล่าของเทพวีนัสนั้นจึงไม่ได้สื่อถึงความโลกียะหรือความอีโรติกแต่อย่างใด ดอกกุหลาบสีชมพูในภาพที่โปรยปรายลงมาเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่สามารถเอาชนะทุกอย่างได้ หอยเป็นสัญลักษณ์ของความน้ำและความอุดมสมบูรณ์ องค์ประกอบอื่นๆ ในภาพก็มีความอ่อนช้อย พลิ้วไหวและนุ่มนวล ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นศิลปะแห่งยุค Renaissance ได้อย่างแท้จริง ปัจจุบันภาพวาดนี้ ถูกจัดแสดงอยู่ใน Galleria degli Uffizi หรือหอศิลป์อุฟฟีซี เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี

5. The Garden of Earthly Delights โดย Hieronymus Bosch

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : artsy.net

ภาพวาดนี้ เป็นผลงานศิลปะ และแนวคิดที่ได้มาจากความเชื่อว่า พระเจ้าและปีศาจ สวรรค์และนรกมีจริง ประกอบกับจินตนาการอันสุดล้ำราวกับหลุดมาจากโลกแห่งอนาคต ซึ่งเป็นผลงานศิลปะแบบ Surrealism ในยุคกลางตอนปลาย โดยภาพทางด้านซ้ายเป็นภาพของพระคริสต์และการสร้างอดัมกับอีฟในสวนเอเดน ภาพกลางเป็นภูมิทัศน์ที่มีความแปลกประหลาดเพราะมนุษย์และอมนุษย์อยู่ร่วมกัน ทั้งยังมีสิ่งก่อสร้างรูปทรงแปลกประหลาดเหนือจินตนาการ และภาพขวาเป็นภาพของนรกภูมิและภาพของการลงทัณฑ์ในวันพิพากษา ซึ่งนักประวัติศาสตร์หลายคนตีความว่า ภาพนี้เป็นเหมือนสิ่งที่คอยเตือนสติผู้ที่อยู่ในบ่วงกิเลสตัณหา บ้างก็ว่าในภาพกลางเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงศีลธรรมและศาสนาที่เสื่อมโทรม และการสาบสูญของสรวงสวรรค์ นอกจากผลงานชิ้นนี้แล้ว ผลงานชิ้นอื่นๆ ของบอชก็ยังเป็นแนวเหนือจริงและมีความแปลกใหม่ เป็นผลงานที่นำเสนอเรื่องราวของโลกยุคใหม่และดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักที่พ้นไปจากความเข้าใจของมนุษย์ บอชถือว่าเป็นศิลปินนักคิดเชิงศาสนาที่มีความเฉพาะตัวคนแรกๆ ของโลก เขากล่าวว่า “ที่น่าสังเวชที่สุดคือ จิตใจที่ฝักใฝ่กับการทำอะไรแบบเดิมๆ แบบที่คนอื่นทำกันมา และไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเลย” ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่า ผลงานศิลปะของศิลปินท่านนี้ มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครและมีความล้ำยุคล้ำสมัย เป็นจินตนาการที่ล้ำลึกและมหัศจรรย์เกิดคาดคิด

6. The Creation of Adam โดย Michelangelo

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : museivaticani.va

ผลงานชิ้นนี้ เป็นงานที่โดดเด่นที่สุดของจิตรกรเอกชาวอิตาลี ไมเคิลเองเจลโล ซึ่งภาพวาดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของเพดานในโบสถ์ซิสทีน นครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นผลงานศิลปะ และแนวคิดที่มาจากเรื่องราวการสร้างมนุษย์ในคัมภีร์ไบเบิล เป็นภาพวาดที่แสดงเรื่องราวตอนที่พระเจ้าประทานชีวิตให้กับอดัม มนุษย์คนแรก หลังจากที่ได้สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาทั้งสวรรค์และแผ่นดินโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งภาพของมือที่ใกล้ชิดกันของพระเจ้าและอดัม ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของมนุษยชาติและการถือกำเนิดอีกด้วย และยังมีสิ่งที่น่าสนใจคือ เทคนิคการวาดรูปนี้ เป็นเทคนิคที่เรียกว่า Fresco ซึ่งเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุค Renaissance โดยเป็นการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ใช้ปูนขาวที่มีความชื้นเป็นตัวผสมกับผงเม็ดสี เพื่อผสานเนื้อสีเข้ากับปูน ทำให้ภาพวาดยึดติดผนังได้ดี และเป็นภาพที่ยังคงมีอยู่มาจนถึงยุคปัจจุบัน

7. A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte โดย Georges Seurat

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : artic.edu

ภาพ “บ่ายวันอาทิตย์บนเกาะลากร็องด์ฌัต” เป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่มีชื่อเสียงที่สุดของจิตรกรชาวฝรั่งเศส ฌอร์ฌ – ปิแยร์ เซอรา โดยใช้เทคนิคการผสานจุดสี เป็นภาพวาดในยุค Neo – Impressionism ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะแห่งชิคาโก หรือ Art Institute of Chicago ในสหรัฐอเมริกา ผลงานชิ้นนี้ เซอราใช้เวลาถึงสองปีในการวาดภาพ โดยจะไปนั่งในสวนและเขียนภาพร่างของบุคคลต่างๆ เพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ ซึ่งจะเน้นที่รายละเอียดของภูมิทัศน์ของสวน โดยเน้นการใช้สี แสง และรูปทรงที่เห็นด้วยตา เซอราได้แรงบันดาลใจในการสร้างผลงานชิ้นนี้มาจากการศึกษาทฤษฎีสีและอยากเขียนภาพด้วยการใช้เทคนิคการผสานจุดสีเพื่อทำให้ภาพวาดออกมามีสีสันสดใสและมีพลังมากกว่าการใช้ฝีแปรงธรรมดา ถือเป็นเทคนิคการวาดภาพแบบใหม่ในยุคนั้น และเกาะลากร็องด์ฌัตที่เป็นแบบในภาพนั้น เป็นเกาะกลางแม่น้ำแซนในปารีส ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้ที่อยากหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ของชาวปารีสในยุคนั้น

8. Water Lilies โดย Claude Monet

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : claude-monet.com

ชุดภาพ Water Lilies ของโมเนต์ ถือเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของโมเนต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก โมเนต์ เป็นศิลปินแนว Impressionism ที่หลงใหลในแสงเงา และสีสันของธรรมชาติ ภาพเขียนส่วนใหญ่จึงเป็นภาพวาดของทิวทัศน์ธรรมชาติ Water Lilies เป็นชุดภาพวาดสีน้ำมันอันเป็นหนึ่งในผลงานสร้างชื่อให้กับเขา และมีทั้งสิ้นกว่า 250 ภาพ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสวนสไตล์ญี่ปุ่นภายในบ้านของเขาเองที่เมือง Giverny ประเทศฝรั่งเศส โดยผลงานชุดนี้ โมเน่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงระยะ 30 ปีสุดท้ายในการประกอบอาชีพศิลปินของตนเอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้กับโรคต้อกระจกที่ส่งผลต่อการวาดภาพเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม โมเนต์ยังคงวาดภาพต่อไปด้วยใจรักในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอันเปี่ยมล้นเต็มหัวใจ เขากล่าวว่า “ผมไม่เก่งอะไรเลยนอกจากการเขียนภาพและทำสวน” ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในบ้านหลังนี้ไปกับการวาดภาพสวนหลังบ้านของตนเองจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ปัจจุบันผลงานชุดนี้ถูกจัดแสดงในหลายๆ ที่ เช่น ในพิพิธภัณฑ์มาโมเตง โมเนต์ ประเทศฝรั่งเศส, Museum of Modern Art ในนิวยอร์ก, The Metropolitan Museum of Art ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

9. Tahitian Women โดย Paul Gauguin

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : gauguin.org

พอล โกแกง เป็นศิลปินคนสำคัญของฝรั่งเศสในกลุ่ม Post – Impressionism ซึ่งเป็นศิลปินที่ได้มีการทดลองใช้ทฤษฎีสีสันและสไตล์การทำงานรูปแบบใหม่ที่แตกแขนงออกจากงานศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ มีช่วงหนึ่งที่โกแกงตัดสินใจปลีกตัวไปใช้ชีวิตอยู่บนเกาะตาฮิติ มหาสมุทรแปซิฟิกใต้ และเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองบนเกาะ เป็นเหตุให้ผลงานศิลปะ และแนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานของโกแกงได้แรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตบนเกาะแห่งนี้ และผลิตผลงานที่โดดเด่นออกมามากมาย หนึ่งในนั้นคือภาพ Tahitian Women ที่เป็นภาพหวานของหญิงสาวชาวเกาะตาฮิติ และใช้เทคนิคการลงสีแบบเน้นสีสันสดใสโดยใช้แม่สีเป็นหลัก และมีรูปทรงที่เรียบง่าย บิดเบี้ยว แบน ไม่มีเงา แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวและวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวเกาะ ซึ่งเขาเชื่อว่าศิลปินสามารถสร้างผลงานที่ดีได้หากได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ จึงเป็นเหตุให้ผลิตชิ้นงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวบนเกาะตาฮิติออกมามากมาย ปัจจุบันผลงานชิ้นนี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่ Musée d’Orsay ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

10. The Scream โดย Edvard Munch

ผลงานศิลปะ และแนวคิด, ผลงานศิลปะของศิลปิน
Image Credit : edvardmunch.org

The Scream เป็นผลงานชิ้นเอกของ Munch จิตรกรชาวนอร์เวย์ โดยใช้เทคนิคสีน้ำมัน สีฝุ่น และสีชอล์กบนกระดาษแข็ง เป็นภาพของคนที่แสดงสีหน้าหวาดกลัวอยู่ด้านหน้า ด้านหลังมีคนอีกสองคนกำลังเดินห่างออกไป และด้านบนเป็นท้องฟ้าสีแดง  Munch ได้กล่าวถึงผลงานศิลปะ และแนวคิด ที่มาของผลงานชิ้นนี้ในบันทึกส่วนตัว มีใจความว่า “ผมกำลังเดินไปตามถนนกับเพื่อนสองคน ตอนนั้นดวงอาทิตย์กำลังตกดิน ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ผมหยุด รู้สึกหมดแรงและพิงตัวกับราวกั้น มันเหมือนมีเลือดและเปลวไฟลอยอยู่เหนือฟยอร์ดและเมืองที่ผมอยู่ เพื่อนผมเดินจากผมไปแล้ว แต่ผมยังอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นเทาด้วยความวิตก และรู้สึกได้ถึงเสียงกรีดร้องที่ดังมาจากสภาพแวดล้อมนั้น”

ในช่วงเวลาที่ Munch วาดภาพนี้ เขาได้มาเยี่ยมน้องสาวที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ที่โรงพยาบาลจิตเวชที่ตั้งอยู่บริเวณตีนเขา และอาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น โดยสีหน้าคนในภาพที่แสดงถึงความหวาดกลัวและสภาพแวดล้อมที่บิดเบี้ยว ทำให้ภาพนี้มักถูกเชื่อมโยงกับความผิดปกติทางจิต อย่างไรก็ตาม The Scream เป็นหนึ่งในผลงานที่ส่งผลให้เกิดผลงานศิลปะแนว Expressionism และยังมีอิทธิพลต่อผลงานอื่นๆ ในยุคหลังด้วย ปัจจุบัน ผลงานชิ้นนี้ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เดอะเนชั่นแกลเลอรี่ เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์

[affegg id=4586]

Inspire Now ! : จะเห็นว่า ผลงานศิลปะของศิลปินแต่ละคนนั้น ได้แรงบันดาลใจมาอย่างหลากหลาย บางคนก็สร้างสรรค์ผงงานจากความคิด ความเชื่อของตัวเอง บางคนก็สร้างสรรค์ผลงานที่อิงกับศาสนา บางคนก็สร้างสรรค์ผลงานจากความรู้สึกส่วนลึกภายในจิตใจ ทั้งความรักที่เปี่ยมล้น ความโดดเดี่ยวเดียวดาย หรือแม้แต่ความกลัวความสิ้นหวังก็ตาม บางคนก็รังสรรค์ผลงานจากจินตนาการสุดเลิศล้ำที่ไม่มีใครคาดคิด และบางคนก็สร้างสรรค์ผลงานจากแรงบันดาลใจรอบตัว ประกอบกับความรักที่มีต่อการวาดภาพอย่างเปี่ยมล้น ทำให้กลายมาเป็นผลงานที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของใครอีกมากมาย และไม่ว่าแรงบันดาลใจจะมาจากไหนก็ตาม ก็สามารถหยิบเอามาเป็นวัตถุดิบในการสร้างและผลิตชิ้นงานอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองได้ และก่อให้เกิดคุณค่าในตัวชิ้นงานทั้งสิ้น

DIY INSPIRE NOW คือแรงบันดาลใจของฉันใช่ไหม ? ตอนนี้ก็ได้รู้เแล้วว่า แนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน Masterpiece ของศิลปินระดับโลกแต่คนนั้น ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานจากอะไรบ้าง บางอย่างก็เป็นสิ่งใกล้ตัวนี่เอง ซึ่งมีอิทธิพลทำให้สร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นและมีคุณค่ามากมายเลยทีเดียว ♡

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : timeout.com

Featured Image Credit : unsplash.com/Artur Matosyan

Facebook Comments

หาข้อมูล-ลงมือเขียนและเรียบเรียงโดยทีมกองบรรณาธิการเว็บไซต์ DIY INSPIRE NOW