จัดสรรเวลา, สมดุลชีวิต

จัดสรรเวลา อย่างไร ? ให้มี Work Life Balance สมดุลชีวิตสร้างได้จริง แค่เริ่มทำ !

จัดสรรเวลา, สมดุลชีวิต

แต่ละคนเคยสังเกตไหมคะว่าเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับอะไรมากที่สุด ? หลายๆ คนก็อาจจะตอบว่า ใช้เวลาไปกับการทำงานมากที่สุด หากนับเวลาการทำงานตามปกตินั้น เรามักจะใช้เวลาไปกับงานเป็นเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน นับเป็น ⅓ ของเวลาทั้งหมดในแต่ละวัน แต่บางคนก็ใช้เวลาไปกับการทำงานมากกว่านั้น เนื่องด้วยเพราะงานรัดตัว มีหลายอย่างที่ต้องทำ ต้องเคลียร์โปรเจคใหญ่ ทำให้งานอาจกินเวลาส่วนตัวไปบ้าง แต่ในบางคนนั้นก็ทำงานหนักจนแทบจะไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ซึ่งทำให้ส่งผลเสียตามมาได้ ทั้งในเรื่องของความเครียด มีสุขภาพทรุดโทรม พักผ่อนไม่เพียงพอ และไม่มีเวลาให้ครอบครัวหรือคนรัก ซึ่งส่งผลกระทบในด้านความสัมพันธ์ได้เช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมี Work Life Balance หรือการมีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อที่จะทำให้ชีวิตโดยรวมของเราดีขึ้น ทั้งมีความสุขในการทำงานมากขึ้น และมีเวลาส่วนตัวมากขึ้นด้วย แล้วเราจะจัดบาลานซ์ได้อย่างไรดี ? ในบทความนี้ DIYINSPIRENOW จะพาไปดูวิธีจัดการเวลาเพื่อให้เราสร้างสมดุลให้กับการทำงานและชีวิตส่วนตัวกันเลยค่ะ

ชวนมา จัดสรรเวลา อย่างมีคุณภาพ หา Work Life Balance ให้กับตัวเอง !

จัดสรรเวลา, สมดุลชีวิต
Image Credit : freepik.com

การจัดสรรเวลาเพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว หรือ work-life balance นั้นเป็นทักษะสำคัญในโลกปัจจุบันที่มีความเร่งรีบและแข่งขันสูง การมีสมดุลที่ดีไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจ ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และคุณภาพชีวิตโดยรวม อย่างไรก็ตาม การสร้าง Work Life Balance ที่เหมาะสมนั้นเป็นความท้าทาย เนื่องจากต้องอาศัยการวางแผน การจัดลำดับความสำคัญ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้เทคนิคและวิธีการอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างชีวิตที่สมดุลและมีความสุข สำหรับใครที่อยากจะเน้นเทคนิคการบริหารเวลาแบบจริงจัง DIYINSPIRENOW เคยเขียนไว้แล้วลองไปอ่านกันดูนะคะ ส่วนบทความนี้เราจะเน้นที่การจัดการเวลาเพื่อให้มี Work Life Balance กันค่ะ

Samsung Galaxy Watch6 Classic 43mm

Work Life Balance คืออะไร ?

Work Life Balance หรือสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว หมายถึงสภาวะที่บุคคลสามารถจัดการเวลาและพลังงานระหว่างหน้าที่การงานและกิจกรรมส่วนตัวได้อย่างเหมาะสม โดยไม่ให้ด้านใดด้านหนึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่ออีกด้าน ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่

  1. การแบ่งเวลาอย่างเหมาะสม ระหว่างงาน และชีวิตส่วนตัว
  2. ความสามารถในการปฏิบัติภาระหน้าที่ทั้งในที่ทำงาน และที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การมีเวลาพักผ่อน ดูแลสุขภาพ และทำกิจกรรมที่สร้างความสุข
  4. ความรู้สึกพึงพอใจในชีวิตทั้งด้านอาชีพและด้านส่วนตัว

Work-life balance ไม่ได้หมายถึงการแบ่งเวลาเท่ากันระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว แต่เป็นการสร้างความสมดุลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามช่วงชีวิต เป้าหมาย และความรับผิดชอบที่มี เรามาค่อยๆ ทำความเข้าใจเรื่องนี้กันให้มากขึ้นกันค่ะ

ความสำคัญของการสร้างสมดุลในชีวิต คืออะไร ?

จัดสรรเวลา, สมดุลชีวิต
Image Credit : freepik.com

การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน เนื่องจากช่วยให้บุคคลสามารถจัดการกับความต้องการและความรับผิดชอบทั้งในด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีสมดุลที่ดีช่วยลดความขัดแย้งระหว่างบทบาทต่างๆ ในชีวิต ทำให้สามารถทุ่มเทให้กับงานได้อย่างเต็มที่ในเวลาที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็มีเวลาเพียงพอสำหรับครอบครัว การพักผ่อน และการพัฒนาตนเอง ลองมาดูกันต่อค่ะว่าความสำคัญของ Work Life Balance มีรายละเอียดยังไงบ้าง

1. ผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจ

การมีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพกายและใจ โดยช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไป ป้องกันภาวะหมดไฟซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยในคนทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง การมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ และเปิดโอกาสให้มีเวลาในการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพมากขึ้น

2. ประสิทธิภาพในการทำงาน

การมีสมดุลชีวิตนั้นมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงาน เมื่อเรามีเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชื่นชอบก็จะช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และพลังในการทำงาน การมีจิตใจที่ผ่อนคลายจะช่วยให้มีความสามารถในการตัดสินใจและการแก้ปัญหา นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความมุ่งมั่นและแรงจูงใจในการทำงาน เพราะเราจะรู้สึกว่าเมื่อชีวิตมีความสมดุลและมีความสุขมากขึ้น ก็จะส่งผลให้อัตราการขาดงานและการลาออกลดลง ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมทั้งของเรา และขององค์กรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

3. คุณภาพชีวิตโดยรวม

การมี Work Life Balance ส่งผลอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม โดยช่วยเพิ่มความพึงพอใจในชีวิต เมื่อสามารถจัดเวลาให้กับทุกด้านของชีวิตได้อย่างเหมาะสม ความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนก็จะดีขึ้นตามไปด้วย มีเวลาสำหรับการทำงานอดิเรกและการพัฒนาตนเอง ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชนและสังคม ทำให้ชีวิตมีความหมายและเติมเต็มได้มากยิ่งขึ้น

วิธีจัดสรรเวลาให้มี Work Life Balance มีอะไรบ้าง ?

จัดสรรเวลา, สมดุลชีวิต
Image Credit : freepik.com

เราพอจะเข้าใจเรื่องของนิยาม และความสำคัญของ Work Life Balance กันไปแล้ว ทีนี้ลองมาดูวิธีจัดสมดุลกันบ้างค่ะ

1. วางแผนกิจกรรมในแต่ละวันไว้อย่างชัดเจน

อย่าปล่อยให้เวลาในแต่ละวันมาควบคุมเรา แต่เราต้องเป็นฝ่ายควบคุมและจัดสรรเวลาให้มีประสิทธิภาพด้วยตัวเอง ลองใช้เวลาสัก 30 นาทีในตอนเช้าก่อนเริ่มงาน กำหนดลงไปในสมุดแพลนเนอร์ ปฏิทิน หรือแอพจัดตารางเวลาให้ชัดเจนว่าเวลาไหนคือเวลาทำงาน เวลาไหนก็คือเวลาพักผ่อน เวลาไหนเป็นเวลาของเพื่อนและครอบครัว เมื่อเรากำหนดภาพรวมของวันนั้นๆ ได้แล้วก็ค่อยเจาะจงรายละเอียดลงไปทีหลังว่าช่วงเวลานั้นต้องทำอะไรบ้าง เช่น เช็กอีเมลตอนเช้า ออกกำลังกายตอนเย็น หรือโทรหาครอบครัววันละ 10 นาที เป็นต้น

เคล็ดลับก็คือการสร้างตารางงานแบบหลวมๆ ให้สามารถยืดหยุ่นได้ ควรทำงานด่วนในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายเป็นเวลาทำงานประจำวันและ “เผื่อ” ไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การแก้งาน งานด่วนนอกตาราง หรือนัดลูกค้ากะทันหัน และเมื่อจบวัน เวลาที่เหลือก็คือเวลาส่วนตัวของเรานั่นเองค่ะ

มะเขือเทศรูปเชิงกล 60 Cooking Timer นาทีนับถอยหลังจับเวลา

2. เรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ

การจัดลำดับความสำคัญคือหนึ่งในเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณจัดการเวลาได้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในช่วง Work From Home หรือการทำงานตามปกติ โดยแต่ละวันให้เราเลือกงานด่วนและสำคัญที่สุดมาทำก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเลือกทำงานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนเป็นอันดับสอง ส่วนงานไม่สำคัญแต่เร่งด่วนให้เลือกทำเป็นอันดับที่สาม และปิดท้ายด้วยงานไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน เป็นการทำงานแบบ Work Smart ที่จะทำให้เราทำงานได้อย่าง Productive มากขึ้น และใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าด้วยค่ะ ทั้งนี้ การจัดลำดับความสำคัญจะช่วยให้เราเคลียร์งานที่จำเป็นได้ก่อนงานอื่นๆ และช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของงานทั้งหมดในแต่ละวัน ทำให้สามารถวางแผนการทำงานได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การทำงานให้เสร็จไปทีละชิ้นยังช่วยลดความเครียดและทำให้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้นด้วยนะคะ

3. หลีกเลี่ยงการทำหลายอย่างพร้อมกัน

คุณกำลังกลายเป็นคนประเภท Multitasking หรือเปล่าคะ? คนแบบ Multitasking คือกลุ่มคนที่ชอบทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน หากไม่ทำงานหลายๆ ชิ้นในคราวเดียวกันก็จะรู้สึกกระวนกระวาย รู้สึกเหมือนทำงานไม่ทันอยู่ตลอดเวลา หากใครกำลังเริ่มรู้สึกแบบนี้ลองปรับตัวเองใหม่โดยโฟกัสสิ่งที่อยากจะทำไปทีละอย่าง ถึงงานจะเยอะ หัวหน้าจะเร่ง ลูกค้าจะต้องการคุณมากแค่ไหน ก็ไม่ควรทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เพราะจะทำให้เราเสียสมาธิและทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงจนส่งผลกระทบต่อการสมดุลชีวิตในด้านอื่นด้วย

4. กำหนดเวลาการทำงานให้ชัดเจน

การหาสมดุลชีวิตและการทำงานได้อย่างลงตัวคือ ควรมีการกำหนดขอบเขตของงานและเวลาการทำงานอย่างชัดเจน เมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้ว ก็ควรหยุดคิดเกี่ยวกับงานในวันถัดไป ไม่ควรตอบอีเมลของบริษัทหรือตอบข้อความนอกเวลางาน รวมถึงควรบอกวิธีปฏิเสธเพื่อนร่วมงานที่ขอให้เราช่วยทำงานที่ไม่จำเป็นและอยู่นอกเวลางานด้วยความสุภาพนุ่มนวล อาจใช้วิธีการแยกอุปกรณ์เทคโนโลยีสำหรับการทำงานและอุปกรณ์สื่อสารส่วนตัวออกจากกัน เพื่อที่จะสามารถปิดเครื่องได้เมื่อเลิกงาน และถ้าหากทำงานที่บ้าน การตั้งนาฬิกาแจ้งเตือนเวลาเลิกงาน ก็จะทำให้เราสามารถแยกเวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกันได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้วก็ต้องปิดคอมพิวเตอร์หรือวางมือจากงานได้จริงๆ แล้วไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องงาน เช่น ไปออกกำลังกาย อาบน้ำ กินข้าว อ่านหนังสือ เพื่อเป็นการสร้างสมดุลชีวิตส่วนตัวและการทำงานให้ได้จริงๆ ซึ่งจะส่งผลดีกับตัวเราเองนะคะ

5. แบ่งเวลาให้กับการดูแลสุขภาพด้วย

อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญก็คือการแบ่งเวลาให้กับการดูแลสุขภาพด้วย เพราะการมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้เรามีพลังงานในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ทั้งการดูแลครอบครัว ดูแลลูกๆ หรือไปทำงานอดิเรกอื่นๆ ที่เป็นการพัฒนาตัวเอง การทำงานอย่างหักโหมอาจทำให้ร่างกายเจ็บไข้ไม่สบาย และทำให้เราต้องหยุดงานมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานมากกว่าการหาเวลาหยุดพักจากงานสักครู่ และหาเวลาไปออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที หรือฝึกนั่งสมาธิวันละ 10 นาที เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลายจากความเครียด และช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้

จัดสรรเวลา, สมดุลชีวิต
Image Credit : freepik.com

6. หยุดพักอย่างจริงจัง และใช้เวลากับตัวเองจริงๆ

นอกจากการจัดสรรเวลางานและเวลาสำหรับคนรอบข้างแล้ว อย่าลืมเพิ่มช่วงเวลาส่วนตัวของเราเองลงไปในแต่ละวันด้วย และต้องเป็นเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองจริงๆ เพื่อให้ได้ชาร์ตพลังงานโดยปราศจากการถูกรบกวนจากเรื่องงานและเรื่องกวนใจอื่นๆ โดยเลือกช่วงเวลาไหนก็ได้ที่เราสะดวกและสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอดิเรก การหาของกินอร่อยๆ การดูหนังและซีรี่ย์ที่ชอบ การไปสปา ไปนวดแผนไทย หรือจะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และห้ามทำงานในเวลานี้เด็ดขาด เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนของเรา ซึ่งการได้หยุดพักจริงๆ นั้น จะช่วยลดการเกิดภาวะหมดไฟในงานได้ และยังเป็นการจัดการสมดุลชีวิตกับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

7. ใช้เวลากับอุปกรณ์เทคโนโลยีให้น้อยลง

เชื่อไหมคะว่าโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่โทรทัศน์ที่บ้านนั้นฉกฉวยเอาเวลาอันมีค่าไปจากเรามากกว่าที่คิด หลายคนติดมือถือจนต้องหยิบมาเช็กโซเชียลหรือเช็กข่าวสารทุกๆ 10 นาทีทั้งที่ไม่จำเป็น ระหว่างทำงานหากไม่มีมือถืออยู่ใกล้ๆ ก็จะรู้สึกกระวนกระวาย หรือช่วง Work From Home บางคนก็ชอบเปิดทีวีไปด้วยทำงานไปด้วยเพื่อช่วยคลายเหงา แต่ความเป็นจริงแล้ว เราควรจะลด ละ เลิก และอยู่ห่างจากเทคโนโลยีเหล่านี้บ้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในเคล็ดลับการเพิ่มเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนให้กับตัวเองตามเทคนิค Minimize Distractions หรือการขจัดสิ่งรบกวน เพราะเราจะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการหยิบมือถือขึ้นมาดูอยู่ตลอด ไม่ต้องเสียสมาธิไปกับเสียงของทีวี ทำให้สามารถทำงานตรงหน้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น งานผิดพลาดน้อยลง และยังช่วยให้ทำงานเสร็จเร็วขึ้นด้วย

ดังนั้นลองท้าทายตัวเองด้วยการตั้งกฎไม่เล่นมือถือระหว่างทำงานและจะเล่นมือถือในช่วงพักเท่านั้นดูนะคะ รับรองว่าเห็นผลแน่นอน ส่วนเวลาพักผ่อนก็ลองอยู่ให้ห่างจากจอมือถือและหันไปทำงานอดิเรกอย่างอื่นแทน เช่น อ่านหนังสือ ทำสวน หรือทำงานฝีมือ ก็ถือเป็นการเติมพลังบวกให้กับร่างกายและจิตใจ และทำให้เรามีเวลาสำหรับตัวเองมากขึ้นค่ะ

8. หาเวลาไปเที่ยวบ้าง

บางครั้งเราก็ต้อง “ปิดสวิตช์” การทำงานของตัวเองและหาเวลาไปพักร้อนดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการหยุดงาน 1 วัน หรือลาพักร้อนยาวเป็นสัปดาห์ก็ตาม สิ่งสำคัญคือ เราจะต้องมีการแบ่งเวลาให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อชาร์ตแบตให้กับร่างกายและจิตใจ ผลการศึกษาจาก State of American Vacation ที่จัดทำโดย U.S. Travel Association พบว่า พนักงานกว่า 52% มีวันลาพักร้อนที่ไม่ได้ใช้เหลือในช่วงสิ้นปี เนื่องจากกังวลว่าการหยุดงานจะทำให้ Work Flow หยุดชะงัก และต้องกลับมาเคลียร์งานที่ค้างเอาไว้จำนวนมาก แต่ถ้าหากมีการจัดการอย่างเหมาะสม มีการวางแผนการทำงานที่ดี การหยุดพักร้อนนั้นก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เราได้พักผ่อนจริงๆ และกลับมาทำงานอีกครั้งด้วยพลังงานอันเต็มเปี่ยม ส่งผลให้ทำงานได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น มีความกระตือรือร้นมากขึ้น งานมีมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

หนังสือ ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์

Inspire Now ! : หัวใจของการจัดสมดุลชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างลงตัวก็คือ การบริหารจัดสรรเวลาที่ดี ซึ่งก็แล้วแต่บุคคลว่า ความบาลานซ์ในชีวิตของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร และไม่จำเป็นจะต้องมีการจัดสัดส่วนเวลาให้เท่าๆ กัน แต่เป็นการแบ่งบทบาทหน้าที่แต่ละส่วนออกจากกันอย่างชัดเจน และไม่ให้เวลางานมากินเวลาชีวิตส่วนตัวของเรา รวมถึงไม่ใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์จนกระทั่งละเลยความรับผิดชอบในหน้าที่การงานด้วยเช่นกัน การมีบาลานซ์ระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวนั้น จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น จะทำงานก็รู้สึกสนุกและมีความกระตือรือร้น ไม่เหนื่อยเกินไป ไม่หมดไฟ ทั้งยังมีเวลาให้กับตัวเองและคนที่เรารักอีกด้วย

DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันเป็นคนที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? คุณมีวิธีจัดการเพื่อสร้าง Work Life Balance ให้กับตัวเองยังไง มาคอมเมนต์บอกเรากันนะคะ ♡

Facebook Comments

หาข้อมูล-ลงมือเขียนและเรียบเรียงโดยทีมกองบรรณาธิการเว็บไซต์ DIY INSPIRE NOW