Interview : ค้นหาความสุขกับ “คุณจิง” กว่าจะเป็นศิลปินอิสระ ผู้มองความงามของโลกและแบ่งปันพื้นที่ความสุขผ่าน Slowlife บางกอก

GUEST : คุณธีรา ลี้อบาย (จิง) ศิลปิน / นักวาดภาพประกอบ

ชวน “คุณจิง” แชร์ประสบการณ์ ศิลปินอิสระ พร้อมแรงบันดาลใจก่อนสร้าง Slowlife บางกอก

เราเชื่อว่าสาวๆ หลายคนอาจอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังสับสนและตามหา ‘บางสิ่งบางอย่าง’ ในชีวิต ซึ่งวันนี้ DIY INSPIRE NOW จะพาทุกคนไปพบกับ ศิลปินอิสระ เจ้าของนามปากกา T-ra Missu หรือคุณจิง ธีรา ลี้อบาย ศิลปินนักวาดภาพประกอบที่ออกเดินทางตามหาบางอย่างจนกลายมาเป็นนักเล่าเรื่องผ่านภาพวาดและแรงบันดาลใจในการสร้าง Slowlife บางกอก ไปร่วมค้นหาแรงบันดาลใจการใช้ชีวิตให้มีความสุขจากเธอพร้อมๆ กันเลยค่ะ

1. ในช่วงอายุ 10 ปี เป็นยังไงบ้าง ?

คุณจิงเป็นคนจังหวัดยะลา มีน้องชายหนึ่งคน ในช่วงอายุ 10 ปีของคุณจิงนั้นใช้ชีวิตกับครอบครัว เป็นคนที่ชอบวาดรูป ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น และชอบการส่งรูปภาพเข้าประกวดตั้งแต่เด็กถึงขั้นเคยนั่งรถไฟมาเข้าร่วมการประกวดที่กรุงเทพฯ ด้วยตัวเองคนเดียวมาแล้ว จุดเปลี่ยนของชีวิตในช่วงนี้คือการสอบเข้าโรงเรียนประจำตอนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพราะมีเพื่อนๆ ชวนและส่วนตัวก็อยากออกไปเจออะไรใหม่ๆ ซึ่งทั้งคุณพ่อและคุณแม่เองก็ให้การสนับสนุนจนสามารถเข้าโรงเรียนประจำที่ต้องการได้ในที่สุด ซึ่งการเข้าโรงเรียนประจำนี้ก็ทำให้ได้พบสังคมและเพื่อนใหม่ๆ แต่การออกห่างจากครอบครัวค่อนข้างเร็วก็ทำให้มีความเหงาอยู่ในตัวและรู้สึกขาดรวมถึงตามหาอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาเมื่อโตขึ้นด้วย

2. ช่วยเล่าชีวิตในช่วงอายุ 20 ปี ให้ฟังหน่อยว่ามี ประสบการณ์ทำงาน ยังไงบ้าง ?

คุณจิงมีความรู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้และที่ผ่านมาค่อนข้างเรียบง่าย เป็นไปตาม Step ของชีวิตและรู้สึกว่าการเข้ามหาวิทยาลัยเองก็ไม่ยาก สุดท้ายแม้เธอก็สามารถสอบติดรอบแอดมิชชั่นในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาศิลปอุตสาหกรรม (Industrial Design) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังได้ในที่สุด แต่ขณะเรียนมหาวิทยาลัยนี่เองที่คุณจิงพบว่าความสุขจากการวาดรูปเริ่มหายไป กลายเป็นความเครียดที่เข้ามาแทน และตัวเธอเองก็แทบไม่ได้วาดรูปเลย จนกระทั่งเรียนจบก็ไม่ได้วาดรูปต่ออีก

หลังเรียนจบคุณจิงเริ่มทำงานที่บริษัทเย็บกิโมโนเล็กๆ จากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาเปิดในไทยในฐานะวิศวกรตัดเย็บและอยู่กับบริษัทแห่งนี้จนกระทั่งปิดตัวลง ในระหว่างนี้เธออยู่บ้านเช่ากับเพื่อนและได้คิดหาไอเดียอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นรายได้เสริม สุดท้ายจึงได้เริ่มขายขนมไข่และกลายเป็นการขายน้ำเต้าหู้ ซึ่งธุรกิจขายน้ำเต้าหู้นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้คุณจิงสนใจการต่อยอดเรื่องการทำธุรกิจเพื่อสังคม

“ธรรมชาติไม่รู้จักขยะ เพราะขยะทุกอย่างจะกลายเป็นวัตถุดิบของอีกอย่างเสมอ”

เนื่องจากเคยเรียนเกี่ยวกับการทำธุรกิจแนว Social Enterprise จึงสามารถนำมาต่อยอดได้ง่ายทั้งระบบวิธีคิดและการแก้ปัญหา คุณจิงเริ่มเขียนแผนธุรกิจส่งประกวดแล้วนำมาต่อยอดทำธุรกิจน้ำเต้าหู้ร่วมกับเพื่อนอย่างจริงจัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ตัดสินใจเลิกธุรกิจนี้แล้วหันมาวาดรูปอีกครั้ง นับเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางศิลปินอิสระของเธอ

หลังจากเลิกทำธุรกิจ คุณจิงได้หันกลับมามองย้อนดูสิ่งที่ตัวเองรู้สึกชอบจริงๆ และพบว่าสิ่งที่ชอบแล้วมีความสุขกับมันก็คือการวาดรูปจึงอยากกลับมาวาดรูปอีกครั้ง โดยตลอดเวลาที่ทำธุรกิจน้ำเต้าหู้ก็ได้ใช้ฝีมือการวาดเพื่อออกแบบโปสเตอร์หรือสื่ออื่นๆ เพื่อโปรโมทแบรนด์อยู่แล้วและมีคนที่รับรู้มาตลอด จากการสนับสนุนและให้กำลังใจของหลายๆ คน คุณจิงจึงรู้สึกว่าการเป็นศิลปินอิสระที่วาดรูปเป็นอาชีพได้ก็มาจากแรงสนับสนุนของคนอื่นๆ อีกมากมายด้วย

โดยการกลับมาวาดรูปในครั้งนี้เริ่มต้นโดยการชักชวนของอาจารย์จากบ้านศิลปิน คลองบางหลวง ที่คุณจิงได้เจอระหว่างออกงานออแกนิกต่างๆ และได้คนรู้จักของอาจารย์มาชวนให้วาดรูปลงปกสมุด เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาวาดรูปจนกลายเป็นอาชีพในครั้งนี้ จากนั้นจึงเริ่มมีการติดต่อให้วาดภาพประกอบสินค้า ภาพประกอบลงสมุด และงานอื่นๆ เข้ามาเรื่อยๆ

3. การออกมาวาดรูปเต็มตัวมีความกังวลอะไรไหม? กังวลเรื่องเลี้ยงชีพไหม หรือคิดว่าแค่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว ?

คุณจิงมีโอกาสได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับมหาตมะ คานธี ซึ่งในหนังสือนั้นแสดงแนวคิดของคานธีว่าพระเจ้าจะมอบอาหารมื้อต่อไปให้เราเสมอ คุณจิงจึงเกิดความเชื่อว่า “เราอยู่ได้” เพราะพระเจ้ามีความเมตตาที่จะมอบอะไรบางอย่างที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตต่อไปได้เสมอ ไม่ต้องมีความกลัว หากเรารู้สึกว่าต้องมีหนทาง มันก็จะมีงานเข้ามาเพื่อให้เราไปต่อได้ แต่เราเองก็ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราชอบทำสิ่งนี้และจะทำไปเรื่อยๆ เป็นความสุขมากกว่าที่จะกังวล

4. ช่วงอายุ 30 ปีคิดว่าตัวเองเป็นยังไงบ้าง ?

ระหว่างที่ทำงานวาดรูปก็จะมีงานที่เราไม่ได้ต้องการด้วยเช่นกัน และในระหว่างนี้เราก็ศึกษาอยู่เสมอว่าการวาดรูปของเราสามารถต่อยอดไปได้ถึงไหน คุณจิงกล่าวว่าตัวเองก็อยากทำชิ้นงานที่เป็นมาสเตอร์พีซ อยากสร้างผลงานที่ออกมาจากใจของตัวเอง แต่ด้วยงานวาดรูปที่ทำเป็นประจำทำให้พบว่าไม่มีเวลาเหลือไปทำสิ่งที่อยากทำจริงๆ จนเกิดความคิดว่าต้องมีสถานที่ของตัวเองเพื่อจะได้เริ่มทำงานของเราจริงๆ จนกลายเป็นอีกแรงบันดาลใจให้สร้างบ้านหลังนี้ (Slowlife บางกอก)  ซึ่ง ‘คุณจิ้น’ หรือ ‘เชฟจิ้น’ กวีวิรัญจ์ บัวสุวรรณ เชฟออแกนิกผู้หลงรักในวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและเป็นคนรักของคุณจิงเองก็เห็นด้วย เขาจึงสร้างบ้านหลังนี้บนที่ดินเก่าแก่ของครอบครัวขึ้นมา ที่บ้านนี้คุณจิงมีมุมทำงานของตัวเอง ซึ่งหลังจากมีบ้านแล้วคุณจิงก็พบว่าพอมีสถานที่ก็ได้เริ่มทำงานของตัวเอง พอมีงานของตัวเองชิ้นแรกก็ทำให้อยากสร้างสรรค์ผลงานอื่นๆ ต่อไป

5. แรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเริ่มทำธุรกิจนี้คืออะไร ?

ตั้งแต่เด็กคุณจิงมีความคิดริเริ่ม ชอบคิดอยากทำอะไรใหม่ๆ ชอบหาโอกาสบางอย่างมาตั้งแต่เด็กและการได้อ่านความคิดเห็นของคนที่ได้ดูรูปของตัวเองนั้นก็ทำให้สามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขงานต่อไปได้ จึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือฐานสำคัญที่ทำให้อยากสร้างผลงานของตัวเอง นอกจากนี้การวาดรูปยังเปรียบเหมือนการสื่อสาร ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น รูปวาดทำให้เกิดสุนทรียะ ช่วยกล่อมเกลาจิตใจของเราให้งดงาม เมื่อใจงามเราก็จะมองเห็นความงามของสิ่งรอบตัวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้คุณจิงยังอยากเป็นผู้ดูที่ไม่เอาตัวเองไปแทรกแซงอะไร อยากให้ทุกคนรักโลกในแบบที่เป็น เพื่อให้ทุกคนเห็นความงามของโลกผ่านภาพวาดได้

การวาดรูปเปรียบเหมือนการสื่อสาร ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น รูปวาดทำให้เกิดสุนทรียะ ช่วยกล่อมเกลาจิตใจของเราให้งดงาม เมื่อใจงามเราก็จะมองเห็นความงามของสิ่งรอบตัวได้ง่ายขึ้น

6. จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา เคยมีอุปสรรคหรือปัญหาอะไรหรือไม่ มีวิธีการจัดการกับปัญหาและอุปสรรคยังไง ?

คุณจิงเห็นว่าการมีปัญหาและอุปสรรคไม่ใช่เรื่องแปลกแต่มันก็มีวิธีแก้ปัญหาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวเมื่อต้องเจอกับปัญหานั้น การแก้ปัญหาสำหรับคุณจิงก็คือการเข้ามาสำรวจในใจของตัวเอง อาจเป็นการเขียนว่าเราติดขัดอะไรตรงไหน ทำให้รู้สึกว่าเมื่อมีปัญหา ตัวเราเองนี่หล่ะที่ตอบคำถามของตัวเองได้

7. อยากให้เล่าคอนเซปต์ของ Slowlife บางกอก หน่อยค่ะ ?

นอกจากบ้านจะเป็นบ้านแล้วยังมีอีกชื่อเรียกว่า “ที่พัก” ซึ่งเป็นที่ที่เราสามารถมาพัก มาอาศัยได้ ซึ่งคุณจิงเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะการทำบ้านขึ้นมาก็เพื่อเป็นที่พัก ให้เราได้มาพักจากอะไรบางอย่าง เป็นที่บ่มเพาะความงามในใจนอกจากนี้ Slowlife บางกอก ยังไม่ได้จำกัดแค่ให้คุณจิงและคุณจิ้นเท่านั้น แต่ยังอยากให้คนอื่นเข้ามาพักที่นี่ด้วย เพื่อให้คนอื่นๆ ได้เห็นความสุขตามความเป็นจริง ไม่ว่าใครเข้ามามันมีศิลปะซ่อนอยู่ที่นี่อยู่แล้ว

8. ที่มาของการริเริ่มทำทัวร์ชุมชนร่วมกับโรงแรม Angelo Family Suites คืออะไร ?

เนื่องจากเป็นบ้านในละแวกเดียวกัน ทำให้ทาง Slowlife บางกอกมีโอกาสร่วมงานกับคุณน้ำตาล เจ้าของโรงแรม Angelo Family Suites โดยทำการส่งอาหารปิ่นโตออแกนิกฝีมือเชฟจิ้นให้กับทางโรงแรม จากประสบการณ์ทำงานด้านธุรกิจเพื่อชุมชนและอยู่ในแวดวงออแกนิกมาเป็นเวลานาน ทาง Slowlife บางกอกจึงริเริ่มอยากทำทัวร์ชุมชน เพราะเห็นว่าการเที่ยวชุมชนไม่จำเป็นต้องไปต่างจังหวัดเท่านั้น แต่เราสามารถเที่ยวในละแวกชุมชนของเราเองได้ กลายเป็นแนวคิดที่มาของการทัวร์ชุมชนเพื่อให้คนกรุงเทพฯ เข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้ง่ายขึ้น โดยคุณจิงกล่าวว่าตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนเสนอไอเดียและพูดคุยกับคนในชุมชน ยังไม่มีที่ปรึกษาโครงการแต่ทั้ง Slowlife บางกอก และคุณน้ำตาลจาก Angelo Family Suites ก็อยากให้การทำทัวร์ชุมชนออกมาเป็นรูปร่างในปีนี้

9. มีการวางแผนอนาคตของสิ่งที่เราทำต่อไปยังไงบ้าง ?

บ้านหลังนี้คือการวางแผนเพื่ออนาคตอยู่แล้ว จากในอดีตที่คุณจิงเป็นฝ่ายเป็นคนไปขายของ ไปออกงาน เมื่อมาถึงจุดนี้จึงมองว่าอยากสร้างพื้นที่เพื่อให้คนอื่นเป็นฝ่ายมาหาตัวเองบ้าง  เพราะอยากแบ่งปันพื้นที่ให้คนอื่นๆ ได้มีโอกาสสัมผัสธรรมชาติ มาลองปลูกพืช มาทดลองสิ่งที่อยากทำ เพราะเราเข้าใจความทุกข์ของคนที่กำลังตามหาอะไรบางอย่างหรืออยากเติมเต็มความรู้สึกบางสิ่งที่ขาดหายไป และคุณจิงคิดว่าบ้านหลังนี้จะช่วยเติมเต็มสิ่งที่คนเหล่านั้นกำลังตามหาได้

10. มีคำแนะนำอะไรให้กลุ่มคนที่กำลังลังเลระหว่างการทำงานประจำและการออกมาทำสิ่งที่ต้องการ

คุณจิงแนะนำว่าถ้ารู้แล้วว่าอยากทำอะไรให้ทำเลยโดยไม่จำเป็นต้องออกจากงานประจำ ถ้ามีงานประจำอยู่แล้วมีสิ่งที่อยากทำก็ให้ทำเลย เมื่อมั่นใจว่าเราสามารถอยู่ได้แล้วจริงๆ ค่อยออกจากงานประจำก็ยังไม่สาย อยากให้ใจเย็นๆ และลองไปทั้งสองอย่างก่อน

11. เดินทางมาถึงตอนนี้แล้ว คิดว่าตัวเองเป็นยังไงบ้าง ? มีอะไรอยากจะพูดกับตัวเองไหม ? (ภูมิใจในตัวเองมั้ย ? / ตัวเราเองพัฒนาขึ้นกว่าเดิมเยอะขึ้นหรือเปล่า ? / อยากขอบคุณตัวเองมั้ย ? )

คุณจิงมีความรู้สึกว่าอยากพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งความรู้สึกนี้มีมาตลอดแต่มาตอกย้ำตัวเองมากขึ้นเมื่อมีโอกาสได้เรียนจัดดอกไม้ทำให้รู้สึกอยากเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น อยากเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน เป็นการค้นพบความรู้สึกตัวเองที่ชัดเจนขึ้นว่าอยากเป็นคนที่ดีขึ้นและยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น

12. รู้สึกมีความสุขหรือพอใจกับชีวิตของตัวเองในตอนนี้หรือยัง ?

เรื่องของความพอใจนั้นคุณจิงกล่าวว่าตัวเองพอใจกับชีวิตในตอนนี้แล้ว ชอบกับชีวิตที่เป็นอยู่และอยากทำให้ตัวเองดีขึ้น ซึ่งคุณจิงยังได้กล่าวอีกว่าการที่ชีวิตก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้นเป็นเพราะการสนับสนุนจากคนรอบตัวด้วย ทั้งครอบครัว แฟน และลูกค้า เพราะทุกครั้งที่ได้ทำงานศิลปินอิสระก็เหมือนได้ค้นพบว่าตัวเองต้องพัฒนาอะไร แม้จะมีความกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีหรือเปล่า เราจะประสบความสำเร็จตามที่สังคมคาดหวังไหม แต่การที่เราจะดีขึ้นได้นั้นเราก็ต้องยอมรับอะไรบางอย่างเหล่านั้นอย่างจริงใจ มองใจเราตามความเป็นจริงและเข้ามาดูภายในจิตใจของตัวเองมากขึ้นด้วย

Inspire Now ! : เรื่องราวของศิลปินอิสระคนเก่ง คุณจิง ธีรา ลี้อบายนั้น ทำให้เราได้ค้นพบแรงบันดาลใจและได้กลับมาสำรวจตัวเองมากขึ้น ทำให้ฉุกคิดถึงอะไรหลายอย่างในชีวิตไม่แพ้เรื่องเล่าคนดังระดับโลกเลยใช่ไหมคะ ใครกำลังตามหาแนวทางการใช้ชีวิตให้มีความสุข ลองเริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัว และสำรวจสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ดูสิ ไม่แน่สาวๆ อาจพบว่าความสุขอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดนะคะ

DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีกว่าใช่ไหม ? อ่านเรื่องราวของคุณจิง ศิลปินอิสระมากความสามารถแล้ว สาวๆ ได้แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้มีความสุขหรือเปล่าคะ ลองค้นหาความสุขในใจเรา แล้วมาแบ่งปันเรื่องราวของเพื่อนๆ กันได้เลย ♡

ทำความรู้จักกับคุณจิงและ Slowlife บางกอกให้มากกว่าเดิมได้ที่ T-Ra Missu / Slowlife บางกอก

วางโครงเรื่อง สัมภาษณ์ ถ่ายภาพและเรียบเรียง โดย : LillyLhin