ออกแบบปฏิทิน ตั้งโต๊ะ ด้วยตัวเองยังไง ? แจกไอเดียทำตามง่าย ใช้ได้จริง !
ชวนมาดูไอเดีย ออกแบบปฏิทิน ตั้งโต๊ะ สวยๆ พร้อม how to ที่ทำตามได้ง่ายๆ ออกแบบเองได้ตามความคิดสร้างสรรค์ และการใช้งาน ใช้เองก็ได้ ให้คนอื่นก็ดี
ถ้าพูดถึงธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยมในจังหวัดเชียงใหม่และมีอย่างหลากหลายให้เห็นแทบจะทุกหัวมุมถนนก็คือการทำร้านกาแฟ อีกทั้งอายุของผู้ประกอบการร้านกาแฟนั้นก็มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ บางคนเป็นเจ้าของร้านตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี เช่นเดียวกันกับ “คุณเบญ” ที่เข้าสู่วงการธุรกิจร้านกาแฟในจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่อายุ 24 ปี และปัจจุบันก็ได้ขยายการเติบโตจนมีถึง 3 ร้านด้วยกัน ทั้ง Sukhum Caffe’, Sukhum Craft และ Sukhum Caffe’ สาขา Gimme Shelter ท่ามกลางการแข่งขันที่เรียกได้ว่าคุกครุ่นของตลาดร้านกาแฟในจังหวัดเชียงใหม่ คุณเบญยังคงยึดมั่นที่จะทำร้านต่อไปด้วยใจรัก แล้วในปีนี้ก็จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ของการทำธุรกิจเปิดร้านกาแฟแล้ว สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากจะทำธุรกิจร้านกาแฟ อยากก้าวออกจากงานประจำเพื่อมา ทำร้านกาแฟ ในฝัน ลองตามมาอ่านเรื่องราวการทำธุรกิจ สมดุลชีวิตของเจ้าของร้าน 3 สาขา ไปร่วมค้นหาแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจนี้กับคุณเบญกันค่ะ
เรานัดกันที่ร้าน Sukhum Craft หนึ่งในร้านกาแฟที่คุณเบญดูแลอยู่ ร้านตั้งอยู่ที่อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร บรรยากาศร้านให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนมานั่งดื่มกาแฟที่บ้านเพื่อน ด้านนอกร้านมีซุ้มตีนตุ๊กแกเลื้อยอยู่เต็มกำแพงเขียวชะอุ่ม โทนร้านเป็นสีขาวและน้ำตาล แซมด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ธโทน แต่ช่วงที่ไปสัมภาษณ์นั้นเป็นช่วงคริสต์มาส – ปีใหม่พอดี จึงมีการแต่งร้านด้วยต้นคริสต์มาสเพื่อเสริมบรรยากาศความเป็นเฟสทีฟมากขึ้น บรรยากาศสบายๆ ช่วยทำให้การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างไหลลื่น เรามาดูถึงเส้นทางการเป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟของคุณเบญกันเลยค่ะ
เราสร้างบรรยากาศการพูดคุยให้เป็นกันเองด้วยการให้คุณเบญแนะนำตัวเองสั้นๆ “สวัสดีค่ะ ชื่อเบญ ดนิตารัชย์ พึ่งเกตุ เรียนจบจากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนี้อายุ 29 ปี เป็นเจ้าของร้านและหุ้นส่วนร้านกาแฟ Sukhum Caffe’ Sukhum Craft แล้วก็ Sukhum Caffe’ สาขา Gimme Shelter ที่อยู่ในตัวเมืองค่ะ” ด้วยวัยที่ไม่ถึง 30 ปี ตอนนี้คุณเบญดูแลธุรกิจร้านกาแฟถึง 3 ร้านด้วยกัน ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่ทำกับแฟนของคุณเบญเอง เรียกได้ว่าก่อร่างสร้างร้านมาด้วยกัน เป็นทั้งพาร์ทเนอร์ในเรื่องงานและพาร์ทเนอร์ในชีวิต และว่ากันตามตรง ร้าน Sukhum ก็ถือว่าเป็นชื่อแบรนด์ร้านกาแฟที่คุ้นหูกันดีสำหรับคนเชียงใหม่ ทำให้เราอยากจะรู้เรื่องราวของการทำร้านกาแฟมากขึ้นว่ามาลงเอยด้วยการเปิดร้านได้อย่างไร
คุณเบญเล่าว่า ในชีวิตวัยเด็กของตัวเองก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป ไม่ได้หวือหวาเป็นพิเศษ คุณเบญเรียนที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย ในจังหวัดเชียงใหม่ และอยู่ในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่ก็ต่างทำงานประจำกันทั้งคู่ ซึ่งคุณพ่อรับราชการ คุณแม่ทำรัฐวิสาหกิจ และตอนเด็กนั้นๆ เธอมีความฝันอยากจะเป็นคุณครูอนุบาลสอนเด็กๆ และตอนช่วงวัยเด็กก็ไม่ได้มีความคิดที่จะอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองหรืออยากเปิดร้านอะไรมาก่อน แล้วก็ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่า วันหนึ่งจะมีธุรกิจหรือมีร้านกาแฟเป็นของตัวเองแบบนี้
ตอนช่วงมหาวิทยาลัย คุณเบญเรียนในคณะอุตสาหกรรมเกษตร ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื่องด้วยเพราะคุณเบญเรียนจบสายวิทย์ – คณิตมา และที่เรียนคณะนี้ก็เพราะว่า คุณเบญไม่ได้ชอบวิชาคำนวณเท่าไหร่ จึงไม่ได้สนใจที่จะเลือกเรียนวิศวะฯ ซึ่งเป็นคณะท็อปฮิตของเด็กสายวิทย์ และก็ไม่ได้อยากจะไปทำงานในโรงพยาบาล ดังนั้น คณะสายแพทย์ก็ไม่ใช่ทางอีกเช่นกัน และคุณเบญชอบเรียนวิชาเคมี ซึ่งคณะนี้ฯ ก็เรียนเกี่ยวกับอาหารซึ่งเป็นการลงลึกถึงสารประกอบต่างๆ ในอาหารพอดี แล้วเป็นคณะที่มีงานรองรับอย่างแน่นอน “ตอนสอบติดก็ดีใจนะ ตอนเรียนก็สนุก ก็รู้สึกชอบอยู่” และหลังจากที่เรียนจบ คุณเบญก็เข้าทำงานในฝ่าย R & D หรือฝ่าย Research & Development ในโรงงานอุตสาหกรรมเครื่องเทศที่เชียงใหม่ อยู่ในส่วนของสายงานการทำวิจัยและพัฒนาคุณภาพอาหาร และทำได้นานถึง 3 ปีกว่าๆ เลยทีเดียว
ด้วยสายงานโรงงานอุตสาหกรรมและอยู่ในส่วนของฝ่ายวิจัยและพัฒนาคุณภาพอาหารนั้น ถือว่าเป็นงานที่มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง เราก็เลยถามถึงสาเหตุของการออกมาทำร้านกาแฟ คุณเบญเล่าว่า ไม่เคยมองภาพตัวเองว่าจะต้องมาเป็นเจ้าของร้านกาแฟมาก่อนเลย เพราะตอนทำงานในโรงงานก็ยังสนุกกับการทำงาน แต่พอทำไปได้สามปีกว่าก็รู้สึกว่ามันอิ่มตัว และรู้สึกว่ามันเริ่มเป็นอะไรแบบเดิมๆ ซึ่งความจริงแล้ว คุณเบญไม่ได้ตัดสินใจลาออกเพื่อจะมาเปิดร้านกาแฟโดยเฉพาะ แต่คุณเบญเปิดร้าน Sukhum Caffe’ ร้านกาแฟร้านแรกควบคู่ไปกับการทำงานประจำ ซึ่งเป็นร้านที่มีจุดเริ่มต้นมาจากแฟนของคุณเบญที่ชื่นชอบกาแฟมากๆ และอยากจะเปิดร้านเป็นของตัวเอง ประกอบกับตัวคุณเบญเองก็มีความคิดที่จะเปิดร้านกาแฟอยู่เหมือนกันเพราะชอบบรรยากาศความเป็นร้านกาแฟและอยากมีบรรยากาศแบบนั้นเป็นของตัวเองบ้าง ก็เลยคุยกันว่า งั้นเรามาเปิดร้านกาแฟด้วยกันดีไหม และก็เปิดเป็นร้าน Sukhum Caffe’ ขึ้นมาเป็นร้านแรกในที่สุด
“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะมีร้านเป็นของตัวเองเร็วขนาดนี้ แต่ก็เหมือนความฝันมันมาเร็วขึ้นเพราะมีคนอยากทำด้วยกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงขั้นว่าจะเป็นนักธุรกิจที่อายุไม่ถึง 30 อะไรแบบนั้น ก็คิดว่าคงทำงานประจำไปเรื่อยๆ แล้วก็เปิดร้านกาแฟไปด้วย มาดูร้านช่วงเสาร์อาทิตย์แบบนี้” และหลักจากเปิดร้านสักพักแฟนของคุณเบญก็ลาออกมาทำร้านกาแฟเต็มตัว ในขณะที่คุณเบญยังคงทำงานประจำอยู่และใช้เวลาช่วงเสาร์อาทิตย์มาดูแลร้านกาแฟควบคู่กันไป
“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะมีร้านเป็นของตัวเองเร็วขนาดนี้ แต่ก็เหมือนความฝันมันมาเร็วขึ้นเพราะมีคนอยากทำด้วยกัน”
พอมาทำในส่วนของการช่วยดูร้านกาแฟ คุณเบญก็รู้สึกสนุกที่ได้ลงมือทำกาแฟด้วยตัวเอง ได้คิดค้นเมนูใหม่ต่างๆ ได้ดูแลร้าน ซึ่งคุณเบญรู้สึกชอบตรงนี้มากๆ และยังคงทำควบคู่กับงานประจำเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้มีความคิดว่าจะลาออกมาเปิดร้านกาแฟอย่างเต็มตัว จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ตรงที่ว่า หลังจากอิ่มตัวกับการทำงานประจำ จึงตัดสินใจลาออกและวางแผนว่าจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เพื่อไปเรียนภาษาเพิ่มเติมและไปหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นทำเรื่องเอาไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งวีซ่าก็ผ่านเรียบร้อย ทั้งติดต่อที่พักเอาไว้หมดแล้วด้วย ค้างแค่ซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อบินไปเท่านั้น แต่มันมีเหตุที่ทำให้ไม่ได้ไปเรียนต่อก็คือ ในตอนนั้นเป็นช่วงการระบาดของ COVID – 19 พอดี ซึ่งแต่ละประเทศก็ต่างปิดประเทศกันหมดและงดเดินทางข้ามประเทศ ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ นั่นทำให้คุณเบญต้องกลับมาคิดและวางแผนชีวิตของตัวเองใหม่ว่าจะเอาอย่างไรดี และก็ตัดสินใจได้ว่า ในเมื่อไม่สามารถไปยังเส้นทางการศึกษาต่อได้แล้ว ณ ขณะนั้น ก็จะมุ่งมั่นกับการทำร้านกาแฟให้เต็มที่ เพราะตัวคุณเบญเองก็ชอบทำกาแฟ แฟนคุณเบญเองก็ชอบกาแฟเหมือนกัน ประกอบกับประสบการณ์การทำร้าน Sukhum Caffe’ มาร่วมสามปี จึงตัดสินใจที่จะทำร้านที่ 2 ขึ้นซึ่งก็คือร้าน Sukhum Craft นั่นเอง
และแม้ตอนนั้น COVID – 19 จะยังระบาดอยู่ ทำให้ไม่สามารถทำร้านได้อย่างเต็มที่ คุณเบญก็ใช้ช่วงเวลานั้นทำการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำธุรกิจเปิดร้านกาแฟทั้งการลงเรียนคอร์สออนไลน์ต่างๆ จนออกปากว่า จากคนที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับธุรกิจร้านกาแฟมาก่อน ในตอนนี้แทบจะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการทำร้านกาแฟเลยก็ว่าได้ พอได้มาทำตรงนี้แล้วก็อยากจะทำให้ดีที่สุด
“มันเหมือนกับการเล่นเกมที่จะต้องทำภารกิจไปเรื่อยๆ และต้องมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ พอเราไม่ได้ไปเรียนต่อแล้ว เราก็เลยอยากจะมุ่งมั่นให้กับตรงนี้อย่างเต็มที่” จะเรียกว่าเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสก็ว่าได้ เพราะแม้เส้นทางของการศึกษาต่อจะต้องยุติไป แต่เส้นทางใหม่ในบทบาทการเป็นเจ้าของร้านกาแฟก็ได้เกิดขึ้นอย่างเต็มตัว
“มันเหมือนกับการเล่นเกมที่จะต้องทำภารกิจไปเรื่อยๆ และต้องมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ พอเราไม่ได้ไปเรียนต่อแล้ว เราก็เลยอยากจะมุ่งมั่นให้กับตรงนี้อย่างเต็มที่”
เมื่อมาเปิดเป็นร้านที่ 2 เราก็เลยถามถึงความแตกต่างระหว่างร้านแรกกับร้านที่ 2 ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร คุณเบญอธิบายว่า ร้านแรกจะเป็นกาแฟแบบ Speed Bar เป็นเมนูกาแฟทั่วไปที่ซื้อกินแบบประจำวัน และมีลูกค้าประจำที่มาซื้อเมนูกาแฟต่างๆ ในตอนเช้าหรือตอนพัก เป็นกาแฟแบบ Daily ที่มีเมนูทั่วไปอย่าง เอสเพรซโซ่ อเมริกาโน่ ลาเต้ คาปูชิโน และเมนูแบบ Non – Coffee จำพวกโกโก้ ชาเขียว ชานม สมูทตี้ เป็นต้น และลูกค้าที่มาแต่ละท่านก็จะมีเมนูประจำที่จะสั่งเหมือนกันแต่ละวัน กลุ่มลูกค้าก็จะเป็นคนทำงานเป็นหลัก และนอกจากเมนูกาแฟแล้ว ก็ยังมีการวางขายผลิตภัณฑ์อย่างหมวกและแก้วน้ำเก็บความเย็นที่มีโลโก้ของร้าน เป็นการขยายไลน์สินค้าภายใต้ชื่อ Sukhum Caffe’ เพิ่มด้วย
แต่ Sukhum Craft จะเป็นร้านกาแฟแบบ Slow bar ให้บรรยากาศอีกแบบที่มีความอบอุ่นมากกว่า ทั้งมีเมนูพิเศษประจำฤดูกาล ซึ่งเป็นเมนู Signature ของร้าน อย่างเมนู Mulled Sparkling Apple Cider เมนูพิเศษช่วงฤดูหนาว รวมถึงกาแฟเมนูพิเศษอื่นๆ ประจำฤดูกาลที่จะใช้วัตถุดิบในช่วงนั้นเป็นหลัก คุณเบญเล่าว่า เมนูพิเศษต่างๆ นั้น เมื่อตอนเปิดร้านใหม่ๆ คุณเบญจะเป็นคนคิดค้นเมนูพิเศษต่างๆ เองทั้งหมด เพราะชอบที่ได้จับนู่นผสมนี่เข้าด้วยกัน เพื่อที่จะได้นำเสนอกิมมิกของร้านว่ามีเมนูแปลกใหม่ที่จะไม่วางขายที่ร้าน Sukhum Caffe’ และก็เป็นเมนูพิเศษเฉพาะของทางร้าน Sukhum Craft เท่านั้น ซึ่งจะไม่ใช่เมนูที่มีวางขายในร้านกาแฟอื่นๆ ในตลาดอีกด้วย นอกจากนี้ ก็จะมีส่วนของ Slow bar อย่างกาแฟดริป ที่ลูกค้าสามารถเลือกเมล็ดกาแฟพิเศษหรือ Specialty Coffee ได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะมีความพิถีพิถันมากกว่า เหมาะสำหรับลูกค้าที่มีเวลาว่างอยากมานั่งพักผ่อนที่ร้านแฟหรือนั่งพูดคุยกันกับเพื่อนๆ ได้อย่างไม่เร่งรีบ และที่ใช้คำว่า Craft เพราะคุญเบญรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนงานคราฟต์จริงๆ ทั้งบรรยากาศในร้าน หรือเมนูกาแฟของร้านนี้ที่มันมีความพิเศษเพราะเป็นเมนูที่คิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเองจริงๆ ร้านนี้เป็นเหมือนการนำเสนอตัวตนและสิ่งที่คุณเบญชอบและทำให้ภาพที่เป็นความฝันกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง
“เราอยากทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ถึงแม้จะขับรถมาไกลก็จะไม่ผิดหวังที่มาที่นี่ และถ้าอยากจะกินเมนูนี้ ก็ต้องมาที่ร้านนี้เท่านั้น เราชอบบรรยากาศแบบนี้ ก็เลยอยากทำให้ร้านนี้ออกมาเป็นแบบที่เราชอบ สำหรับร้านที่ 2 ก็เป็นร้านที่ได้มีโอกาสขายเมนูใหม่ๆ แล้วก็มีเมนู Brunch เข้ามาเสริม เพื่อให้เป็นร้านที่สามารถเอ็นจอยได้ นั่งกินกาแฟ คุยกันได้สบายๆ แล้วก็เริ่มเอาเมนู Brunch เข้าไปขายที่ Sukhum Caffe’ ด้วย เป็นการขยายไลน์เมนูอาหารเพิ่มเติม”
“เราอยากทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ถึงแม้จะขับรถมาไกลก็จะไม่ผิดหวังที่มาที่นี่ เราชอบบรรยากาศแบบนี้ ก็เลยอยากทำให้ร้านนี้ออกมาเป็นอีกแบบที่เราชอบ”
เมื่อถามคำถามนี้ คุณเบญยิ้มน้อยๆ แล้วบอกกับเราว่า “ถ้าให้พูดตรงๆ ก็ต้องบอกว่าเหนื่อย ตอนนี้เหนื่อยมาก (หัวเราะ) แต่เราก็มีความสุขที่ได้ทำมัน เรารักร้านของเรามาก และเราดีใจมากที่มันมาได้ไกลขนาดนี้ เราก็อยากจะทำให้มันออกมาดีที่สุด”
คุณเบญเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ตอนช่วงเปิดร้านแรกๆ นั้น คุณเบญก็จะทำกาแฟเอง ชงกาแฟเอง พร้อมกับคิดค้นเมนูใหม่เรื่อยๆ แล้วก็มีความสุขความสนุกในตรงนั้น แต่ตอนนี้คุณเบญไม่ได้ทำในส่วนนั้นแล้ว “ไม่ใช่ไม่อยากทำนะคะ เรายังสนุกกับมันอยู่ เราชอบในการทำกาแฟหรือการคิดค้นเมนูใหม่ๆ เราสนุกกับตรงนั้นมากๆ แต่ตอนนี้เราไม่มีเวลาไปทำตรงนั้นเลย”
ด้วยความที่ร้านเติบโตมากขึ้น และตอนนี้ก็มีถึง 3 ร้านด้วยกัน ทำให้คุณเบญต้องมาดูแลในส่วนของการบริหารงานมากขึ้น โดยที่แฟนของคุณเบญจะดูแลในเรื่องของกาแฟเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตอนนี้คุณเบญมีพนักงานรวมทั้งหมดเกือบ 20 คนที่ต้องดูแลทั้งหมด นอกจากการดูแลรับผิดชอบน้องๆ ในร้านและดูแลในส่วนของการทำงานของน้องๆ แล้ว คุณเบญและแฟนก็ต้องดูแลเกี่ยวกับวัตถุดิบกาแฟและวัตถุดิบอื่นๆ ที่ใช้ในร้านด้วย นอกจากนี้ ยังต้องดูในเรื่องของการทำการตลาด และการดูแลบริหารธุรกิจที่จะทำอย่างไรให้เติบโตแล้วก็ยังคงไปรอด ทั้งในส่วนของยอดขายและกำไร
“ถ้าเทียบกับองค์กรหรือบริษัท ตอนนี้เราก็เทียบได้กับตำแหน่งสูงสุด เป็นคนที่บริหารร้าน และเป็นที่พึ่งให้กับน้องๆ ในร้าน เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเราก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้ ต้องตัดสินใจให้ได้ ณ ขณะนั้น ซึ่งการทำร้านหรือการทำงานอื่นๆ แน่นอนว่ามันจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นเสมอ และเราก็จะต้องแก้ปัญหาให้ได้ เพื่อให้ร้านยังไปต่อได้ ในหนึ่งปีเราทำงานทั้ง 365 วัน เราไม่มีวันหยุดเลย แต่เราก็อยากจะทำให้ร้านของเรามันออกมาดีที่สุด มันเป็นร้านของเราเอง เราก็เลยทุ่มเทกับมันมากๆ”
“ในหนึ่งปีเราทำงานทั้ง 365 วัน เราไม่มีวันหยุดเลย แต่เราก็อยากจะทำให้ร้านของเรามันออกมาดีที่สุด มันเป็นร้านของเราเอง เราก็เลยทุ่มเทกับมันมากๆ”
ด้วยฐานะของการเป็นเจ้าของร้าน ประกอบกับการกดดันตัวเอง คุณเบญก็ยอมรับว่า บางครั้งมันก็มีความเครียดเกิดขึ้น เพราะคุณเบญมองว่าตัวเองเป็นหัวหน้างาน เป็นเจ้าของร้าน ซึ่งจะต้องรู้มากกว่าน้องๆ ในร้านและต้องทำงานเป็นมากกว่าคนอื่นๆ เพื่อที่จะได้ให้คำแนะนำหรือชี้แจงได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด และยังมีในส่วนที่ต้องคิดเกี่ยวกับการพัฒนาร้านให้มันเติบโตไปมากกว่าเดิม อย่างการไปออกบูทตามงานต่างๆ ทั้งในเชียงใหม่แล้วก็กรุงเทพฯ เพื่อให้ร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
เมื่อเห็นถึงความตั้งใจและแพชชั่นในการทำร้านมากขนาดนี้ เราเลยอยากจะรู้ถึงมุมมองเกี่ยวกับธุรกิจการเปิดร้านกาแฟในสายตาของคุณเบญว่าเป็นอย่างไร คุณเบญบอกกับเราว่า ในมุมมองของเธอ ธุรกิจร้านกาแฟเป็นธุรกิจที่ให้ความผ่อนคลาย เป็นสถานที่ที่สร้างความสุขให้กับคนอื่น และตัวเองก็มีความสุขที่ได้ทำร้านในแบบที่ตัวเองชอบ แล้วคนที่ได้มานั่งในร้านกาแฟของคุณเบญก็จะรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย ถึงแม้จะทำงานหนักมาทั้งวัน แต่พอได้ออกมานั่งร้านกาแฟในช่วงพักเที่ยง ก็รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมากขึ้นแล้ว และบรรยากาศแบบนั้น ได้จุดประกายให้คุณเบญอยากจะทำร้านของตัวเองขึ้นมา
แต่ถ้าในแง่ของการทำธุรกิจนั้น คุณเบญมองว่าธุรกิจกาแฟเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมาก และไม่ใช่ธุรกิจที่คืนทุนไวหรือได้กำไรเยอะ และมีรายละเอียดยิบย่อยมากมายที่ต้องคำนึงถึง ในมุมคนนอกนั้น อาจมองว่าการเปิดร้านกาแฟดูจะสบายและไม่เครียดเพราะเป็นเจ้าของร้าน เป็นนายตัวเอง แต่การทำธุรกิจนี้ให้คงอยู่ได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คุณเบญเล่าว่า มันยังมีในส่วนของการบริหารจัดการร้าน จะต้องดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยของร้าน ดูแลในเรื่องการบริหารคนให้น้องๆ ในร้านทำงานแล้วมีความสุข รวมถึงการเทรนด์พนักงานเวลามีการรับสมัครพนักงานใหม่เพื่อให้เป็นงานและทำงานที่ร้านได้ และยังมีการดูแลเรื่องของรายละเอียดเกี่ยวกับกาแฟ การบริหารค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย
และที่เปิดถึง 3 ร้านด้วยกัน คุณเบญให้เหตุผลว่า ก็อยากเห็นร้านของตัวเองมีการเติบโตต่อไป และอยากจะทำแบรนด์เป็นของตัวเอง อยากสร้างแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์ ประกอบด้วยความรักในการทำร้านของตัวเอง ทำให้คุณเบญมุ่งมั่นทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ สำหรับร้านแรกนั้น ด้วยความที่เปิดมาได้ 6 ปีแล้ว ก็มีฐานลูกค้าแน่นอยู่พอสมควร และยังมีการพัฒนาร้านโดยการสร้างแบรนด์ สร้างโลโก้ ทำผลิตภัณฑ์อย่างหมวกและแก้วน้ำออกมาวางขายเพื่อเป็นการสร้างกิมมิกให้กับร้าน เป็นการพัฒนาแบรนด์และสร้างตัวตนให้เป็นที่จดจำมากขึ้น สำหรับร้านที่ 2 Sukhum Craft เป็นร้านที่คุณเบญอยากจะนำเสนอในอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความพิถีพิถันมากกว่า มีความเป็นงานคราฟต์ ให้คนมาเอ็นจอยกับเมนูใหม่ๆ หรือเมนูพิเศษประจำฤดูกาล และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการดื่มกาแฟที่มีความพิเศษมากกว่าเดิม
ส่วนของร้านที่สาม เป็นการเปิดร้านกาแฟในตัวเมืองที่ไป Collab กับร้านอาหารอิตาลีในคอมมูนิตี้มอลล์แห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งจะเป็นกาแฟเมนูทั่วไปเหมือนกับร้าน Sukhum Caffe’ ซึ่งเป็นการเปิดร้านเพื่อที่จะเรียนรู้ตลาดในเมืองมากขึ้น กลุ่มลูกค้าจะเป็นใคร จะขายได้หรือไม่ คุณเบญบอกกับเราว่าไม่ได้หวังสร้างกำไรให้มากขึ้น แต่เป็นการเรียนรู้ตลาดอีกกลุ่มหนึ่งมากกว่า และตอนนี้ก็มีลูกค้ามากขึ้นแล้ว ซึ่งการที่ร้านแตกต่างกัน กลุ่มลูกค้าก็จะแตกต่างกันไปด้วย ก็จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่มสำหรับการมากินกาแฟที่ร้าน Sukhum สาขาต่างๆ และในแง่ของการแข่งขันในตลาด ก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการขายให้มากขึ้นในเวลาเดียวกัน
และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของการทำธุรกิจกาแฟและทำร้านต่อไปก็คือ คุณเบญอยากจะพัฒนาเมล็ดกาแฟไทยให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยการวางแผนอยากจะเข้าไปศึกษาในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟนั่นเอง “เราอยากจะช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ซึ่งร้านกาแฟก็เป็นเหมือนอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการกระจายผลผลิตของเกษตรกร ให้เขาสามารถขายผลผลิตของเขาได้ โดยการไปรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรผู้ปลูก ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้กับเขา” จากการทำร้านซึ่งเป็นในส่วนของปลายน้ำในวงการธุรกิจกาแฟ คุณเบญก็อยากจะศึกษาและลงลึกในส่วนของเมล็ดกาแฟดูบ้าง และอยากพัฒนาคุณภาพกาแฟไทย ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้เธอยังคงอยู่ในธุรกิจนี้ต่อนั่นเอง
เมื่อพูดถึงเสน่ห์ของการทำร้านกาแฟไปแล้ว เราเลยถามคุณเบญถึงปัญหาและอุปสรรคดูบ้าง เธอตอบว่า สำหรับในตอนนี้คือเรื่องของเศรษฐกิจและการบริหารค่าใช้จ่าย เพราะราคาต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกประการ แต่ไม่สามารถเพิ่มราคากาแฟให้อยู่ในราคาที่จะทำกำไรเยอะๆ ได้
“ตอนนี้ราคากาแฟทั่วไปในเชียงใหม่แก้วละ 60 70 80 บาท สำหรับเชียงใหม่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ถ้าเราจะเพิ่มราคาแล้วละ 100 บาท หรือ 120 บาทเราเองก็ทำใจไม่ได้ เราก็ไม่อยากจะขายแพงขนาดนั้น ลูกค้าก็คงมาครั้งเดียวแล้วไม่มาอีก”
ประกอบกับที่เชียงใหม่นั้น แหล่งซื้อวัตถุดิบก็ไม่ได้มีให้เลือกมากมาย มีร้านใหญ่ๆ อยู่ไม่กี่ร้าน ก็ต้องจำยอมในเรื่องของต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และวิธีแก้ไขปัญหาของคุณเบญคือเน้นการขายแบบ Volume มากกว่า ส่วนอุปสรรคอย่างที่สองก็คือเรื่องคู่แข่ง เพราะร้านกาแฟเชียงใหม่นั้น ต้องบอกว่ามีเยอะมากๆ และเปิดใหม่แทบทุกวัน โดยเฉพาะในตัวเมืองที่เปิดร้านใหม่กันมากมาย ในส่วนนี้ คุณเบญบอกกับเราว่า ตัวร้าน Sukhum เองก็พยายามสร้างแบรนด์ของตัวเองให้มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์มากขึ้น และพยายามที่จะสร้างตัวตนในตลาดให้ได้ หรือขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น อย่างการไปเปิดร้านที่ 3 ในเมืองก็เพื่อเป็นการเรียนรู้ตลาดและขยายฐานลูกค้ากลุ่มอื่นๆ เพื่อดูลู่ทางหรือดูแนวโน้มต่อไป
สำหรับอนาคตของการทำร้าน คุณเบญบอกว่า ตอนนี้ยังไม่มีแพลนที่จะขยายสาขาเยอะๆ ถ้าเป็นในส่วนของร้าน Sukhum Craft ก็มีแพลนว่าจะขยายร้านเพิ่มเติมโดยการทำร้านโซนชั้น 2 เพิ่มเติม ถ้าเป็นภาพรวมก็เป็นในเรื่องของการกลับไปพัฒนาในส่วนของต้นน้ำ ซึ่งก็คือการพัฒนาเมล็ดกาแฟไทย ไปดูวิธีการปลูก การ Process กาแฟของเกษตรกร ขึ้นไปยังแหล่งปลูกกาแฟบนดอยเพื่อไปเจอกับเกษตรกรที่ปลูกกาแฟโดยตรง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เธออยากจะทำ แล้วก็อยากจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องคั่วกาแฟเพิ่มเติม เพราะที่ร้านเองก็มีสถานที่กว้างขวาง ก็เลยอยากจะทำเป็นที่คั่วกาแฟด้วย แต่ตรงนี้คุณเบญบอกกับเราว่าต้องหาเวลาไปเรียนเพิ่มเติม และต้องแบ่งเวลาทั้งในส่วนของการดูแลบริหารร้าน การลงพื้นที่ปลูก และไปเรียนการคั่วกาแฟเพิ่มเติมด้วย
คุยกันมาสักพักถึงเรื่องการทำร้านกาแฟในระดับที่เข้มข้นพอๆ กับเอสเพรสโซ่เข้มๆ 2 ช็อตใหญ่ ทำให้เราสงสัยว่า ทำงานหนักขนาดนี้ คุณเบญมองในเรื่องสมดุลชีวิตอย่างไร ในมุมมองของคุณเบญ คุณเบญคิดว่าสมดุลชีวิตคืออะไร คุณเบญบอกกับเราว่า
“ในมุมมองของเรา สมดุลชีวิตของเราตอนนี้ก็คือ เราต้องแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ออก เพราะตอนนี้เราแยกไม่ออกเลย (หัวเราะ) และตอนนี้เราก็ยังไม่มีสมดุลชีวิตด้วย เพราะอย่างที่บอกว่าเราทำงานทุกวัน หนึ่งปีมี 365 วัน เราก็ทำงาน 365 วัน ถึงแม้ร้านจะปิดห้าโมงเย็นเราก็ยังนั่งเคลียร์บัญชีหรือทำเงินเดือนพนักงานต่อ ดูแลเรื่องเอกสารต่างๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบทุ่มครึ่งแล้ว”
“ในมุมมองของเรา สมดุลชีวิตของเราตอนนี้ก็คือ เราต้องแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ออก เพราะตอนนี้เราแยกไม่ออกเลย”
คุณเบญยังเล่าให้ฟังอีกว่า บางวันก็กินข้าวไม่ตรงเวลาเพราะมัวแต่ทำงาน หรืออย่างวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่คนอื่นจะได้หยุดพักผ่อน ก็ต้องเตรียมตัวรับลูกค้า เพราะช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ลูกค้าเยอะมากและเป็นช่วงเวลาทำเงินของร้าน ทำให้ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรืออย่างเวลาที่ไปร้านกาแฟ เมื่อก่อนเธอจะรู้สึกสนุก รู้สึกมีความสุขและได้ผ่อนคลาย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เอามาเปรียบเทียบกับร้านของตัวเองและคิดว่าจะต้องปรับปรุงพัฒนาร้านอย่างไรบ้าง แต่คุณเบญก็บอกว่า นั่นก็เป็นข้อดีเพราะทำให้รู้สึกมีไฟมากขึ้น แต่ก็สร้างความเครียดได้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น คุณเบญก็บอกว่า อยากจะบริหารจัดการให้ตัวเองมีสมดุลชีวิตให้ได้
เราจึงถามต่อว่า แล้วคุณเบญจะมีวิธีจัดการกับสมดุลชีวิตของตัวเองอย่างไร เธอบอกว่า ก็ต้องปล่อยวางให้มากขึ้น และผ่อนคลายมากขึ้น ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป ที่ยังทำงานหนักอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเป็นห่วงร้าน และเพราะตัวเองเป็นเจ้าของร้าน ก็เลยคิดว่าตัวเองจะต้องดูแลร้านให้ดีที่สุด ซึ่งนั่นเป็นการสร้างความกดดันแล้วก็ความเครียดให้กับตัวเองได้เหมือนกัน แต่พยายามหาทางออกโดยการคิดถึง Worst Case และวิธีแก้ปัญหาว่าจะทำอย่างไรเมื่อเกิดปัญหาขึ้น และเมื่อมีวิธีแก้ไขปัญหาหรือวิธีรับมือกับความผิดหวังรองรับไว้ในใจแล้ว ก็จะทำให้ความเครียดลดน้อยลง ปล่อยวางได้มากขึ้น แต่ก็ต้องค่อยๆ ปรับจูนกับตัวเองต่อไป คุณเบญเน้นว่าจะต้องมีวันหยุดให้ตัวเองให้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นความสมดุลในชีวิตเธอเลย เธอบอกว่าอยากมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น และอยากมีเวลาให้กับคุณแม่มากขึ้นด้วย เธอบ่นว่า ช่วงก่อนๆ นั้นแทบจะไม่มีเวลาให้กับคุณแม่เลย แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน เพราะต้องออกมาดูร้านทุกวัน กว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำแล้ว ซึ่งเราก็ให้กำลังใจเธอไปว่า เธอจะต้องหาบาลานซ์ให้กับชีวิตของตัวเองได้ในสักวัน และหาจุดสมดุลในชีวิตเจอได้ในที่สุด
ในฐานะผู้ประกอบการ การจะพาธุรกิจตัวเองให้เติบโตไปได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ประกอบกับมีความรับผิดชอบอยู่เต็มมือมากมาย ทำให้บางครั้งเราอาจจะละเลยในเรื่องของสมดุลชีวิตไป แม้ในตอนนี้คุณเบญจะยังไม่สามารถจัดการสมดุลชีวิตได้อย่างที่เธอต้องการ แต่เธอก็หวังว่าเธอจะทำมันให้ได้ในสักวันหนึ่งด้วยการมีวันหยุดให้กับตัวเองบ้าง เพราะถ้าหากเราทำงานหนักจนเกินไปโดยที่ไม่หยุดพัก ก็อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าสะสมและทำให้รู้สึกหมดไฟและหมด Passion ได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะทำงานหนัก ผลตอบแทนที่ออกมาก็คุ้มค่า คุณเบญบอกกับเราว่า มีหนึ่งเรื่องที่คุณเบญรู้สึกภูมิใจและพอใจกับมันมากๆ ก็คือ การที่คุณแม่ของเธอยอมรับในการทำร้านและเห็นถึงความตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะก่อนจะทำร้านนั้น คุณแม่มักจะบอกให้เธอไปสอบราชการต่างๆ ด้วยความที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่รับราชการและทำรัฐวิสาหกิจ แรกๆ จึงไม่เห็นด้วยที่คุณเบญจะมาเปิดร้าน แต่ตัวคุณเบญเองก็คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับการรับราชการ และอยากจะมาทำตรงนี้มากกว่า ซึ่งตอนนี้คุณแม่ก็ยอมรับแล้วก็ดูภูมิใจที่เธอมีร้านเป็นของตัวเองมากๆ ทั้งนี้ คุณเบญก็ยังย้ำบ่อยๆ ว่า อยากจะทำให้ดีกว่านี้ และเติบโตไปมากกว่านี้ ซึ่งเป็นการไม่หยุดพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นแม้จะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ การทำร้านกาแฟมาร่วม 6 ปี และกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ทำให้เธอเติบโตขึ้นและมีสมดุลในด้านการบริหารจัดการอารมณ์และการแก้ปัญหาต่างๆ มากขึ้นด้วย ทั้งในแง่ของการทำงานแล้วก็ชีวิตส่วนตัว เธอบอกว่า ตัวเองแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ตอนนี้ก็มีสติมากขึ้น ใจเย็นมากขึ้น นิ่งขึ้น แล้วก็พูดคุยกันด้วยเหตุและผล แล้วก็ยังรู้สึกว่ามองโลกกว้างขึ้นมากๆ เมื่อมีปัญหาเข้ามา คุณเบญจะตั้งสติก่อนเป็นอันดับแรก แล้วก็มาค่อยๆ คิดว่าสามารถแก้ไขอะไรได้บ้าง จากนั้นก็ค่อยๆ ปรับแก้ไป ไม่ใช้อารมณ์และไปเคร่งเครียดกับมันเหมือนตอนเปิดร้านใหม่ๆ ซึ่งในแง่ของสมดุลชีวิตโดยรวมนั้นอาจจะยังไม่เป็นไปตามที่เธอหวัง แต่การทำธุรกิจกาแฟก็ทำให้เธอหาบาลานซ์ในการจัดการกับปัญหาที่เข้ามาแต่ละวันได้เป็นอย่างดี และพร้อมที่จะเรียนรู้ไปกับมันเรื่อยๆ
มาถึงคำถามสุดท้ายแล้ว เราให้คุณเบญฝากถึงคนที่อยากจะทำธุรกิจของตัวเอง คุณเบญบอกว่า อยากให้คิดอย่างถี่ถ้วน และก็คิดให้รอบครอบว่าเราอยากจะทำมันจริงๆ หรือเปล่า เราพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับมันขนาดไหน เรารักสิ่งนั้นจริงๆ แล้วพร้อมจะสละเวลาให้ได้ไหม เพราะต้องรับผิดชอบหลายอย่างมาก ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่เป็นร้านของเรา ทั้งเรื่องการดูแลพนักงานในร้าน การบริหารค่าใช้จ่าย และการพัฒนาร้านให้สามารถเติบโตขึ้นได้ นอกจากจะต้องเป็นนายตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นเจ้านายให้กับคนอื่นด้วย และเราพร้อมที่จะสละเวลาส่วนตัวของเรามาให้กับตรงนี้ได้หรือเปล่า บางครั้งก็ไม่มีเวลาว่างให้กับเพื่อนๆ หรือครอบครัว บางครั้งก็กินข้าวไม่ตรงเวลา และอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องมีความอดทนมากๆ เพราะการเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น หน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการแก้ไขปัญหา เนื่องจากปัญหามีเข้ามาใหม่ทุกๆ วัน นอกจากจะต้องบริหารร้านแล้ว ก็ต้องเตรียมแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในทุกๆ วันด้วย
ดังนั้น คนที่อยากมาเปิดธุรกิจส่วนตัว คุณเบญก็ฝากไว้ว่า ถ้าพร้อมที่จะสละเวลาของตัวเองแล้วมาทำตรงนี้ได้ ก็ลุยเต็มที่ เพราะข้อดีของมันก็คือ ถ้าเราทำเยอะ เราก็ได้เยอะ แต่จะไม่มีคำว่าทำน้อยเด็ดขาด และผลลัพธ์ก็จะออกมาตามที่เราลงแรงไป อีกอย่างก็คือ เราได้ทำสิ่งที่เราอยากจะทำมันจริงๆ และทำในแบบที่อยากให้มันเป็นจริงๆ และสำหรับตัวคุณเบญเอง ก็เพราะด้วยความรักร้านของตัวเองอย่างท้วมท้น ทำให้เธอสามารถทำมันต่อไปได้ และจะไม่หยุดพัฒนาเพราะอยากจะให้มันดีกว่าที่เป็นมากขึ้นและมากขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นเอง
“ ถ้าพร้อมที่จะสละเวลาของตัวเองแล้วมาทำตรงนี้ได้ ก็ลุยเต็มที่ เพราะข้อดีของมันก็คือ ถ้าเราทำเยอะ เราก็ได้เยอะ แต่จะไม่มีคำว่าทำน้อยเด็ดขาด และผลลัพธ์ก็จะออกมาตามที่เราลงแรงไป”
Inspire Now ! : เป็นเรื่องจริงที่ว่า ไม่ว่าจะงานไหนๆ ก็ตามต่างก็มีความเหนื่อยและความยากลำบากเหมือนกัน แต่อาจเป็นในรูปแบบที่ต่างกันออกไป แต่ในบางครั้งแล้ว ถ้าเราได้ทำสิ่งที่รักจริงๆ และอยากจะทำออกมาให้มันดีที่สุดและพร้อมที่จะมุ่งมั่นลงแรงกับมันอย่างสุดหัวใจ สิ่งที่ได้มาก็คือความสุขและความอิ่มเอมใจ สำหรับคุณเบญแล้วก็คือ การได้ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง และเป็นความฝันที่มาเร็วกว่าที่เธอคิดเอาไว้เสียด้วยซ้ำ แม้ในตอนนี้ที่สมดุลชีวิตของเธออาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่เธอก็พยายามที่จะบาลานซ์ตัวเองให้มากขึ้นด้วยการปล่อยวางและหย่อนในสิ่งที่ตัวเองตึงมากเกินไป อีกอย่างหนึ่งที่เรามองเห็นได้ก็คือ คุณเบญมีความสุขและความอิ่มเอมใจที่ได้ดูแลร้านของตัวเองและเห็นมันเติบโตมากขึ้นในทุกๆ ปี และตัวเธอเองก็เติบโตไปกับร้านด้วยเช่นกัน |
---|
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? อ่านเรื่องราวของคุณเบญ เจ้าของร้านกาแฟท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่สุดสตรองแล้ว ได้แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างมีความมุ่งมั่นกับบางสิ่งบางอย่างมากขึ้นหรือเปล่าคะ ? ลองค้นหาแพชชั่นหรือสิ่งที่รักในตัวเองดู แล้วลองทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่ อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดคิดก็ได้ค่ะ ♡
สำหรับใครที่อยู่เชียงใหม่ หรือมีโอกาสได้มาเชียงใหม่แล้วอยากลองไปกินกาแฟร้านคุณเบญ ก็สามารถติดตามร้านได้ที่ facebook.com/sukhumcaffe หรือ facebook.com/sukhum.craft
ชวนมาดูไอเดีย ออกแบบปฏิทิน ตั้งโต๊ะ สวยๆ พร้อม how to ที่ทำตามได้ง่ายๆ ออกแบบเองได้ตามความคิดสร้างสรรค์ และการใช้งาน ใช้เองก็ได้ ให้คนอื่นก็ดี
เกษียณแล้ว ทำอะไรดี แนะนำ อาชีพหลังเกษียณ พร้อมคำแนะนำในการเลือก ให้คุณได้ใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข และรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง
ชวนดูวิธี โสดอย่างมีความสุข เอาใจสาวโสดทั้งที่ตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ พร้อมแชร์นิยาม โสด หมายถึง อะไร พร้อมวิธีพัฬฒนาตัวเองที่ทำได้จริง