สามพันโบก อุบลราชธานี แกรนด์แคนยอนแห่งลุ่มน้ำโขง Amazing เมืองไทย มีดียังไง ต้องไปถึงจะรู้ !

เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินชื่อสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มาก่อน “สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี” สามพันโบก เป็นหนึ่งใน Unseen in Thailand ที่หลายคนเคยเห็นผ่านตาจากนิตยสารท่องเที่ยว รายการท่องเที่ยว หรือบล็อกท่องเที่ยวต่างๆ แม้ว่าสามพันโบกจะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ แต่ก็เป็นที่ที่ควรไปเห็นกับตาตัวเองสักครั้งในชีวิต สามพันโบก อุบลราชธานี เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สรรค์สร้างเกาะแก่งน้อยใหญ่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง ทั้งยังต้องไปในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ถึงจะเห็นความงดงามทางธรรมชาติได้อย่างเต็มตา แกรนด์แคนยอนแห่งลุ่มน้ำโขงนี้มีดีอะไร ทำไมเราถึงอยากจะให้คุณไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง ตามมาเลยค่ะ

สามพันโบก อุบลราชธานี ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ต้องมาถูกเวลาเท่านั้น จึงจะได้เห็น

สามพันโบก เป็นหนึ่งใน Unseen ที่ท่องเที่ยวภาคอีสาน ประเทศไทย ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันประกอบด้วยแก่งหินที่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางลุ่มน้ำโขง คำว่า “โบก” ในภาษาท้องถิ่น มีความหมายว่า “แอ่ง” เหตุที่เรียกกันว่า สามพันโบก ก็เนื่องด้วยสถานที่แห่งนี้ เป็นเก่งหินที่ถูกน้ำวนพัดกัดเซาะจนเกิดเป็นแอ่งน้อยใหญ่ เป็นหลุมเป็นบ่อหลากหลายขนาดที่มีจำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง จึงเป็นที่มาของชื่อ “สามพันโบก” นั่นเองค่ะ

สามพันโบก เป็นหนึ่งใน Unseen ที่ท่องเที่ยวภาคอีสาน ประเทศไทย ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันประกอบด้วยแก่งหินที่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางลุ่มน้ำโขง คำว่า “โบก” ในภาษาท้องถิ่น มีความหมายว่า “แอ่ง” เหตุที่เรียกกันว่า สามพันโบก ก็เนื่องด้วยสถานที่แห่งนี้ เป็นเก่งหินที่ถูกน้ำวนพัดกัดเซาะจนเกิดเป็นแอ่งน้อยใหญ่ เป็นหลุมเป็นบ่อหลากหลายขนาดที่มีจำนวนมากกว่า 3,000 แอ่ง จึงเป็นที่มาของชื่อ “สามพันโบก” นั่นเองค่ะ

การเดินทางมายังสามพันโบกของเราในครั้งนี้ เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ขับไปตามถนนทางหลวงหมายเลข 2050 มุ่งหน้าไปยังอำเภอโพธิ์ไทร เมื่อถึงอำเภอโพธิ์ไทรแล้ว ให้เข้าสู่ถนนทางหลวงหมายเลข 2112 แล้วจะมีป้ายบอกทางแยกออกไปยังสามพันโบก ขับตามถนนไปเรื่อยๆ ก็จะถึงที่หมาย สำหรับการมาเที่ยวยังสามพันโบกนั้น สามารถเลือกเที่ยวได้สองแบบก็คือ แบบนั่งเรือและไม่นั่งเรือ ซึ่งถ้าเลือกล่องเรือ ก็จะมีให้เลือกอยู่ 2 แบบคือ แบบเหมาลำ 500 บาท และ 1,000 บาท ตามแต่สะดวก แต่ถ้าใครไม่สะดวกล่องเรือ จะเที่ยวชมบริเวณจุดไฮไลท์เพียงจุดเดียวก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะเป็นบริเวณเกาะแก่งหินขนาดใหญ่ข้างริมน้ำโขง จุดที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปอย่างแอ่งมิ้กกี้ แอ่งหัวใจ ก็จะอยู่ในบริเวณนี้แหละค่ะ

สำหรับเราแล้ว ใจจริงอยากเที่ยวให้เต็มที่แบบเหมาะลำไปเลย 1,000 บาท เพราะสามารถไปได้ทุกจุด เสียแต่ว่าวันนั้นเวลาน้อย จึงเลือกแบบ 500 บาท เพื่อไปยังจุดฮอตฮิตอย่างเกาะปะการังและหาดหงส์ แล้วค่อยกลับมายังจุดไฮไลท์อีกครั้ง สำหรับใครที่อยากล่องเรือ ก็เดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นได้เลย แล้วเจ้าหน้าที่จะพาเรานั่งรถสองแถวลงไปยังจุดขึ้นเรือค่ะ (ไม่สามารถขับรถยนต์ลงไปยังท่าเรือเองได้)

ในระหว่างที่นั่งรถนั้นก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับเล่นรถบั๊มสมัยเด็กๆ มีความโขยกเขยกอยู่บ้างพอสมควร เพราะต้องขับลัดเลาะหินทรายในบริเวณนั้นไปยังจุดขึ้นเรือ เราแอบบอกนิดหน่อยว่า การนั่งเรือเที่ยวสามพันโบก อุบลราชธานี อาจจะไม่เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีอายุมาก หรือเด็กเล็กๆ เพราะค่อนข้างวิบากเล็กน้อยในความคิดของเรา แต่ถ้าใครที่เป็นสายลุย ชอบเที่ยวแบบธรรมชาติ ไม่กลัวแดด ไม่กลัวร้อน ชอบการผจญภัย ก็ลงเรือมาได้เลยค่ะ

เรือที่เรานั่ง เป็นเรือหางยาวที่จุคนได้ประมาณ 10 คน ซึ่งเป็นบริการจากชาวบ้านที่ดูแลโดยศูนย์ท่องเที่ยวอีกที มาพร้อมกับไกด์ท้องถิ่นตัวน้อยที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี บางคนอาจจะสงสัยว่า สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพแบบใด ถึงได้มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ หากว่ากันตามลักษณะทางธรณีวิทยาแล้ว แก่งหินที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นหินทราย หินทรายปนกรวด และหินกรวดของหินภูพานที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำ ฟังจากไกด์ตัวน้อยของเราเค้าเล่าว่า แก่งหินแห่งนี้ถูกน้ำกัดเซาะมาเป็นเวลากว่าสามร้อยล้านปี ก่อเกิดเป็นประติมากรรมที่ถูกปั้นแต่งด้วยมือของธรรมชาติ ให้มนุษย์เราได้เห็นเป็นแก่ง โพรง หลุม เพิงผา โขดหิน แนวหิน และก้อนหินน้อยใหญ่ที่ดูแปลกตา หรืออาจมีรูปร่างแตกต่างกันไปตามจินตนาการของผู้ที่มองเห็น

ยิ่งไปกว่านั้น แก่งหินดึกดำบรรพ์เหล่านี้จะปรากฎอยู่ในช่วงฤดูน้ำแล้งเท่านั้น ราวๆ เดือนธันวาคม – พฤษภาคม และเมื่อถึงคราวฤดูน้ำหลาก แก่งหินโบราณเหล่านี้จะถูกน้ำท่วมจนมิดและจมอยู่ใต้ลุ่มน้ำโขง ไม่สามารถมองเห็นได้เลย โอกาสที่เราจะได้มองเห็นแก่งหินตระการตาเหล่านี้ ก็ต่อเมื่อถึงคราวน้ำลดเท่านั้น ช่างเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าทึ่งจริงๆ โดยส่วนตัวแล้ว เราว่านี่แหละที่เป็นเสน่ห์ของธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถควบคุมธรรมชาติได้ หรือนึกเอาแต่ใจตัวเองให้ธรรมชาติเป็นไปตามความต้องการของเรา ตัวเราเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายรอคอยธรรมชาติ และเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง เราก็จะได้ดื่มด่ำกับคุณค่าของการรอคอยอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

จุดเที่ยวแห่งแรกที่คนขับเรือพาเรามาถึงก็คือ เกาะปะการัง สาเหตุที่ได้ชื่อนี้ ก็เพราะว่าก้อนหินและแก่งหินที่เกาะแห่งนี้ มีรูปร่างลักษณะเป็นหยักๆ คล้ายกับปะการัง แล้วแก่งหินปะการังที่สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพแบบใด ? ก็เกิดจากการกัดเซาะของน้ำเช่นเดียวกัน กลายเป็นหินที่มีรูปร่างแปลกตา คล้ายกับกับก้อนปะการังขนาดใหญ่ หรือถ้าใครจะมองเป็นก้อนอุกาบาตขนาดยักษ์เหมือนที่เรามองก็ไม่ว่ากันนะคะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะจอดเรือให้เดินมาถ่ายรูปกันได้ตามอัทธยาศัย ใครอยากจะถ่ายรูปมุมไหนแบบไหน ก็เอาตามสะดวกได้เลยค่ะ

จุดต่อไปที่ไกด์พาเรามาก็คือ หาดหงส์ ที่ถูกเรียกว่าทะเลทรายแห่งประเทศไทย ก็เนื่องจากเป็นเกาะที่มีทรายเกือบเต็มพื้นที่ มองเผินๆ ก็เหมือนเราเดินอยู่ท่ามกลางทะเลทรายในประเทศไหนสักแห่ง ประกอบกับหินผาขนาดใหญ่ที่เป็น Background อยู่ด้านหลังชวนให้ภาพดูแปลกตา ถ้าถ่ายรูปมุมสวยๆ ก็เหมือนว่าได้มาต่างประเทศอยู่นะคะ เมื่องครั้งที่เราไปเที่ยวสามพันโบก อุบลราชธานี โชคดีที่เป็นช่วงต้นเดือนเมษายน ท้องฟ้าแจ่มใส เลยได้รูปผืนทรายสีเหลืองนวลตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าพอดิบพอดี เป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรแวะมาถ่ายรูปมากๆ ค่ะ

เสร็จจากหาดหงส์ ไกด์ก็พาเรากลับมายังจุดไฮไลท์ ในระหว่างที่ล่องเรือก็ได้เห็นเกาะแก่งหินรูปร่างชวนแปลกตาไปตามรายทาง เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ปลุกจินตนาการวัยเด็กให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง บ้างก็มีรูปร่างคล้ายจานบิน บ้างก็ดูเหมือนรถถัง หรือคล้ายกับเท้าของสัตว์บางชนิดตามแต่จะคิดได้

บริเวณจุดไฮไลท์ มีแอ่งหิน แก่งหิน และโตรกผาขนาดใหญ่ที่ให้เหล่านักท่องเที่ยวเดินสำรวจอย่างจุใจ บ้างก็ต้องปีนป่ายขึ้นไปบนแก่งหินถ้าอยากจะได้รูปสวยๆ หรืออยากจะเห็นทัศนียภาพในมุมกว้าง คำแนะนำอย่างหนึ่งที่เราอยากจะบอกเมื่อคุณมาเที่ยวที่สามพันโบก อุบลราชธานีก็คือ ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายตัว ระบายอากาศได้ดี และเคลื่อนไหวสะดวก พร้อมกับใส่รองเท้ากันลื่นมาด้วยก็จะดีมากๆ เพราะจะต้องปีนป่ายแก่งหินอยู่บ้าง หรือเดินข้ามแอ่งหินเพื่อลัดเลาะไปยังจุดต่างๆ หากใครไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะหกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุได้เหมือนกัน โดยเฉพาะตัวเราเองที่พกกล้องถ่ายรูป Mirrorless คู่ใจไปด้วย ต้องคอยระวังตัวไม่ให้ลื่นล้มหน้าคว่ำไป เพราะอาจเสียหายได้ทั้งกล้องทั้งคนเลยทีเดียว

ดูเผินๆ แล้ว ก็เหมือนตัวเราเองได้มาเที่ยวอีกดาวดวงหนึ่ง หากใครชอบดูหนัง Sci – Fi แนวผจญภัยในอวกาศแบบเรา เชื่อว่าคุณคงจินตนาการว่าที่นี่เป็นเหมือนดวงจันทร์ ด้วยลักษณะหลุมบ่อที่มีอยู่มากมาย คล้ายกับหลุมบนดวงจันทร์ที่เคยเห็นในหนังสำรวจอวกาศ และเพิงผาสีน้ำตาลแดงก็คล้ายกับหินผาบนดาวอังคารในภาพยนตร์เรื่อง The martian ยังไงยังงั้น

ถ้าใครจะมาเที่ยวที่สามพันโบก อุบลราชธานี ขอแนะนำว่า มาในเวลาเช้าๆ หรือช่วงเย็นๆ ก่อนพระอาทิตย์ตก ก็จะเป็นเวลาที่พอเหมาะพอดี เพราะคงได้บรรยากาศแสงเช้าแสงเย็นที่สวยงามน่าชม แต่ตัวเราเองมาในช่วงเวลาสายๆ ซึ่งเป็นช่วงที่แสงแดดจัดจ้าพอสมควร ยังดีที่ใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาว เตรียมหมวกมาเรียบร้อย พร้อมสู้กับแสงแดดได้อย่างเต็มที่ จะว่าไปแล้ว การมาเที่ยวที่นี่ก็เหมือนตัวเองได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่กลัวร้อน ไม่กลัวแดด ไม่กลัวเหนื่อย มีแต่ความอยากรู้อยากเห็น อยากไปสำรวจตามแอ่งหินและเพิงผาต่างๆ ว่ามีรูปร่างหน้าตาแบบไหน มีลักษณะเป็ยแบบใดบ้าง ทั้งยังสนุกเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปจนลืมอายุไปเลยทีเดียว

บางคนอาจจะสงสัยว่า เพิงผาบางจุดที่สามพันโบก อุบลราชธานี มีขนาดใหญ่แค่ไหน นี่คือภาพที่เราถ่ายได้ เมื่อเทียบกับขนาดตัวคนแล้ว ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแห่งนี้ มีความยิ่งใหญ่มากกว่ามนุษย์หลายเท่านัก การที่ได้เห็นอะไรที่มันยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ได้รู้ว่ามันยังมีอะไรอีกตั้งมากมายที่กว้างไกลมากไปกว่าชีวิตของตัวเอง มันก็ทำให้เราเลิกเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง หยุดหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง แล้วเริ่มหันมามองสิ่งรอบข้าง มองความเป็นไปของสิ่งต่างๆ และมองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวมากขึ้น

จุดไฮไลท์อีกจุดหนึ่งที่เราชอบก็คือ บริเวณหินเต่า มองดูแล้วคล้ายกับเต่าขนาดใหญ่ยักษ์มานอนพักอยู่บริเวณริมน้ำโขง ความสนุกอีกอย่างหนึ่งเมื่อได้มาเที่ยวที่สามพันโบกก็คือ ได้จินตนาการไปด้วยว่า แอ่งหินหรือเพิงหินผาในบริเวณต่างๆ ที่เราได้เดินสำรวจนั้น มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับสิ่งใด และมองเห็นเป็นสิ่งเดียวกับที่เขาว่ากันไว้หรือไม่ อย่างที่ทราบกันว่า สามพันโบก จังหวัดอุบลราชธานี เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพแบบใด การที่กระแสน้ำกัดเซาะหินขนาดมหึมาจนมีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ต้องอาศัยเวลาในหลักล้านปี และยังคงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง หากเวลาผ่านไปอีกร้อยปี แก่งหินเหล่านี้อาจจะมีรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมก็เป็นได้

หากใครอยากจะมาเที่ยวที่สามพันโบก นอกจากความพร้อมของเครื่องแต่งกาย และการมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะบอกก็คือ อยากให้เที่ยวแบบไม่เร่งรีบ และใช้เวลากับสถานที่แห่งนี้ให้เต็มอิ่ม ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ ปีนป่าย ค่อยๆ มองดูหินแต่ละส่วนว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร คล้ายกับอะไรบ้าง ใช้จินตนาการและความสนุกที่มีอยู่ในตัวคุณให้เต็มที่ ปลุก Creative Thinking ที่ซ่อนตัวอยู่ในวัยเด็กของเราให้ออกมาวิ่งเล่นอีกครั้ง หากจะเที่ยวแบบนั่งเรือก็ขอให้กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัว เว้นว่างจากการคิดเรื่องงานสักพัก ละทิ้งความกังวลที่มีอยู่ในใจออกไปสักครู่ แล้วมาสำรวจปรากฎการณ์ธรรมชาติที่อาจทำให้คุณรู้สึกสนุกสนาน รู้สึกมีชีวิตชีวาเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เหมือนกับเราที่รู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน (ป.ล. ในภาพนี้มีไฮไลท์ที่เป็นหินรูปหัวสุนัขอยู่ด้วยนะคะ ใครมองเห็นบ้าง มาคอมเมนต์บอกกันได้นะ)

Inspire Now ! : สามพันโบก อุบลราชธานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่แม้จะรู้จักกันมานาน แต่ก็ยังเป็นหนึ่งใน Amazing in Thailand ที่ควรไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่ชอบท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อที่จะได้มาสำรวจความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่รังสรรค์ปั้นแต่งประติมากรรมขนาดใหญ่มหึมาอันมีอายุอานามในหลักร้อยล้านปี การได้มาสัมผัสกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ อาจทำให้มนุษย์เราได้ตระหนักถึงความเล็กจ้อยร่อยของตัวเอง และอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติได้อย่างเป็นมิตรมากขึ้นก็ได้นะคะ

DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากออกเดินทางใช่ไหม ? สามพันโบก เป็นหมุดหมายในฝันของใครบ้างไหมคะ ? หรือถ้าใครเคยไปมาแล้ว ประทับใจอะไรบ้าง มาคอมเมนต์บอกกันได้นะ ♡

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : learn.gistda.or.th, region2.prd.go.th