ออกแบบปฏิทิน ตั้งโต๊ะ ด้วยตัวเองยังไง ? แจกไอเดียทำตามง่าย ใช้ได้จริง !
ชวนมาดูไอเดีย ออกแบบปฏิทิน ตั้งโต๊ะ สวยๆ พร้อม how to ที่ทำตามได้ง่ายๆ ออกแบบเองได้ตามความคิดสร้างสรรค์ และการใช้งาน ใช้เองก็ได้ ให้คนอื่นก็ดี
มีใครชอบออกกำลังกาย หรือฝืนตัวเองให้ออกกำลังกายให้ได้ทุกสัปดาห์อยู่หรือเปล่าคะ ?
การออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่ใครๆ ก็รู้ว่าสำคัญ แต่น่าเสียดายที่จำนวนคนที่ให้ความสำคัญ และตั้งใจที่จะออกกำลังกายอย่างเป็นจริงเป็นจังนั้นมีไม่มากเท่าไหร่ และเนื่องด้วยวันที่ 21 มิถุนายน เป็น “วันโยคะสากล” ดังนั้นในบทความสัมภาษณ์เดือนนี้ เราจึงได้มีโอกาสคุยกับครูแพรว ครูผู้สอนโยคะ และพิลาทิส เพื่อที่จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจกันว่า โยคะ และการออกกำลังกาย มีมากกว่าการที่ช่วยให้เราร่างกายแข็งแรงขึ้นยังไงบ้าง ตามมาอ่านกันในบทความนี้ แล้วเริ่มออกกำลังไปด้วยกันกับ DIYINSPIRENOW นะคะ
“ชื่อแพรวนะคะ ตอนนี้อายุ 30 ค่ะ ทํางานที่ เวอร์จิ้นแอคทีฟ (Virgin Active) เป็น Head of Yoga and Pilates ก็คือหลักๆ จะทําหน้าที่ดูแลโปรแกรมโยคะกับพิลาทิสในเวอร์จิ้นแอคทีฟทุกสาขาในประเทศไทย แล้วก็สอนทั้งโยคะและพิลาทิสด้วยค่ะ”
“เล่นโยคะมาถึงตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 8 ปี 9 ปี ค่ะ จุดแรกที่เริ่มเล่นโยคะ เพราะว่าอยากหาการออกกําลังที่ได้ออกกำลังแต่ว่าไม่ยาก ความคิดแรกคือแบบนั้น แต่พอได้ลองฝึกโยคะจริงๆ ก็รู้สึกว่า โยคะ มันเป็นอะไรที่ชาเลนจ์มากเลย มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เราคิด แล้วมันก็เป็นการฝึกสมาธิ แล้วก็ได้ท้าทายกับตัวเองด้วยว่าร่างกายเราจะไปได้ถึงจุดไหน มันก็เลยทําให้เรารู้สึกว่า อยากจะฝึกมากขึ้นเพราะเรารู้สึกว่าเราไปต่อได้ ร่างกายมันไม่มีลิมิต”
เสน่ห์ของ โยคะ คือ อะไร ?
“เสน่ห์ ก็คือการที่มีอะไรมาท้าทายเราตลอดเวลา คือท้าทายทั้งในเรื่องของ ‘physical’ เรื่องของการที่ร่างกายเราจะพัฒนาไปไกลได้แค่ไหน แล้วก็ในเรื่องของ ‘จิตใจ’ ที่ว่าการฝึกสมาธิ การที่เราจะไม่เอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น อย่างเช่นว่าฝึกมาพร้อมกัน แต่คนนั้นทําไมเค้าไปได้ไกลแล้วแต่เรายังอยู่ที่เดิม มันคือการที่เราได้โฟกัสกับตัวเองจริงๆ “
“แพรวคิดว่า น่าจะเป็นเด็กดีนะคะ เพราะว่าที่บ้านเลี้ยงแบบค่อนข้างเป็นสไตล์ western คือปล่อยให้ทําอะไรด้วยตัวเอง ได้เป็นตัวเองแบบเต็มที่ ไปเรียนที่ต่างประเทศแบบ summer กับเพื่อนก็คือปล่อยไปเลย มันทําให้เรารู้สึกว่าเรามีอิสระแล้วก็ เรารู้สึกว่ามีอะไรเราก็ลองทําได้เลย แต่ว่าเราจะแบบเชื่อฟังพ่อแม่ อย่างเช่นว่าสมมุติว่าเรารู้ว่าอันนี้ไม่ดี เราก็จะไม่ทํา เพราะเรารู้สึกว่าเค้าให้อิสระเราขนาดนี้แล้วเราก็ไม่ควรจะทําอะไรที่แบบไม่ดีให้เขาเสียใจ”
ความฝันในวัยเด็ก เป็นแบบไหน ?
“ตอนเด็กจริงๆ คืออยากเป็นแอร์ค่ะ เพราะว่าชอบเรื่องภาษามาตลอด แล้วก็ส่วนใหญ่เด็กๆ ผู้หญิงก็แบบอยากเป็นแอร์ อยากเป็นหมอ อยากเป็นตํารวจ พยาบาลอะไรอย่างเงี้ย แพรวก็อยากเป็นแอร์ จริงๆ ตอนแรกก็ follow ความฝันนี้มาสักพักใหญ่นะคะ จนมาถึงจุดนึงถึงได้รู้ว่า มันไม่เหมาะกับเราก็เลยแบบฉีกแนวไปเลย”
ทำไมถึงคิดว่าไม่เหมาะกับเรา ?
“เพราะว่าเราค่อนข้างเป็นคนที่รักอิสระ แล้วเราก็เป็นคนที่ไม่ชอบทําอะไรตาม pattern แล้วหลังจากที่เราได้ไปลอง เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดนั้น เรารู้สึกว่ามันมีกรอบหลายอย่างที่บีบไว้ แล้วรู้สึกว่าถ้าเราทําตาม เราจะต้องเครียดแล้วก็รู้สึกว่าไม่แฮปปี้ ถึงแม้มันจะเป็นความฝันที่คิดไว้ตั้งแต่เด็ก แต่ว่าแบบความฝันคนเรามันเปลี่ยนได้”
“วัยรุ่น แพรวก็โชคดีที่แบบมีเพื่อนดี ก็ส่วนใหญ่เพื่อนเราจะค่อนข้างเเบบพากันไปในทิศทางที่ดี ไปเรียน ไปโน่น ไปนี่ ไปนั่น มันก็เลยอาจจะไม่ได้แบบว่าเฟี้ยวเวอร์อะไรขนาดนั้น แต่เราก็มีจุดที่แบบเริ่มดื้อเริ่มไม่ฟังพ่อแม่เหมือนกัน อย่างเช่นสมมุติว่า เราอยากไปเที่ยว แต่เขาไม่ให้ไป แต่เราจะไปให้ได้ จนสุดท้ายเขาก็จะยอมให้เราไป ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นอะไรที่ดีนะ เพราะว่าแพรวก็เคยคุยกับพ่อกับแม่ว่า ทําไมถึงตามใจทุกอย่าง เขาก็บอกว่าเพราะรู้ว่าห้ามไปก็ไม่ฟัง ก็ให้ลองไปเจอด้วยตัวเองเลย จะได้รู้ว่าควรทําหรือไม่ควรทํา แล้วมันก็จริงนะ พอนึกย้อนกลับไป อย่างเช่นบางอย่างก็นึกว่า เออจริง เราน่าจะฟังเพราะว่ามันก็ไม่ดีจริง แต่ทําไปแล้ว ทําอะไรไม่ได้ ก็อย่าทําอีกก็พอ”
คุณแพรวเรียนจบด้านไหนมา ?
“แพรว เรียนศิลป์ จีน เพราะว่าชอบเรียนเรื่องภาษา คือแพรวไม่ชอบพวกคณิต พวกอะไรเลย ก่อนอื่นมันเป็นเพราะว่าตอนที่แพรวอยู่ ม.ต้นน่ะ แพรวเรียน English Program แล้วคือหลักสูตรมันแบบแน่นมาก แบบเอาพวกฟิสิกส์ เอาพวกของม.ปลาย มาให้เด็กเรียน แล้วคือสมองเพื่อนบางคนเค้ารับได้เค้าก็จะชอบไปเลย แต่สมองเราเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ กลายเป็นว่าเราไม่ชอบ เพราะฉะนั้นหลังจาก ม.3 เราก็เลยค้นพบตัวเองว่าโอเค เราจะไม่เอาอะไรที่มันเป็นแบบตัวเลขเด็ดขาด เราก็เลยแบบไปสายภาษาอย่างเดียวเลย ก็เลยเรียนศิลป์จีน แล้วพอมหาลัยก็เรียนศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ”
ตอนวัยรุ่นมี point ไหนมั้ยคะ ที่ทำให้เรากลายมาเป็นเราในวันนี้
“แพรวคิดว่าอาจจะเป็นการที่เราเริ่มไม่ฟังพ่อแม่ แล้วเราก็มีแฟน แต่เค้าก็ปล่อยเรา แต่จริงๆ เค้าก็ห้าม แต่เค้ารู้ว่าเราไม่ฟัง แล้วเราก็ดี้อ เราก็ไม่ทําตามที่เค้าบอก จนสุดท้ายที่เลิกกันไปเพราะด้วยเรื่องอะไรหลายๆ อย่างมันก็ทําให้เราคิดว่า เออจริงๆ ทุกอย่างที่ผู้ใหญ่บอกมันคือเรื่องจริงนะ แต่แค่เราไม่เคยมีประสบการณ์ตรงนั้น ทําให้เรารู้สึกว่าเราไม่ฟังหรอก เรารู้ดีที่สุด แต่พอเราคิดได้ เราถึงรู้ว่าเออจริงๆ การที่เวลาใครพูดอะไรมา เราควรรับฟัง เราไม่ควรจะมีความคิดเป็นของตัวเองจนเกินไป แล้วแบบตัดความคิดทุกคนออก เพราะว่าต่อให้มันเกิดขึ้นจริง ไม่จริง แต่การที่เราได้รู้ในมุมมองอื่นๆ มันก็ทําให้เราเปิดหูเปิดตาได้มากขึ้น มันทําให้กลายเป็นคนที่เปิดใจมากขึ้น เพราะแต่ก่อนเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองแบบ 100% ไม่ฟังใครเลย”
“จริงๆ แล้วร่างกายของคนมันก็ต้องประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อ กระดูก น้ํา อะไรพวกนี้แล้วก็คือตามปกติแล้วสิ่งที่จะช่วยให้เรามีความแข็งแรงก็คือ เรามีมวลกล้ามเนื้อใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นการออกกำลังมันคือการสร้างมวลกล้ามเนื้อ มันก็ช่วยได้ในหลายๆ อย่าง เพราะถ้าสมมุติว่าเราขาดส่วนตรงนี้ไป เราจะรู้สึกเราไม่มีแรง ไม่แข็งแรง หรือแม้กระทั่ง การออกกําลังเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ อะไรพวกนี้มันก็เป็นสิ่งที่สําคัญเหมือนกัน สังเกตดูว่า ตอนที่เราเด็กๆ เราจะไม่รู้สึกถึงประโยชน์ของการออกกําลัง แต่ว่าพอเราอายุเยอะเราจะเห็นได้ชัดระหว่าง คนที่ออกกําลังมาตั้งแต่แรกกับคนที่ไม่เคยออกกําลังเลย ร่างกายไม่เหมือนกัน อย่างเช่น แพรว ตอนอายุ 30 กับเพื่อนแพรวตอนอายุ 30 ก็รู้สึกไม่เหมือนกัน เรายังรู้สึกเหมือนเรา 20 อยู่เลย แต่ว่าเพื่อนเราบอกว่าแก่แล้วนะ 30 แล้ว ไม่มีแรง”
“การออกกําลังมันเป็นการที่ร่างกายทําปฏิกิริยา แล้วสมองมันก็จะหลั่งสารเอ็นโดฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข มันก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทําให้เรามีความสุขได้ แล้วก็ปลดปล่อยร่างกายจากความเครียด การออกกําลังมันคือ การที่เราจะต้องโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน โฟกัสอยู่กับสิ่งที่เราทํา เพราะฉะนั้นมันจะเป็นช่วงเวลานึงที่เราไม่ได้แบบเพ้อเจ้อ ย้อนคิดกับไปถึงอดีต หรือมัวแต่กังวลกับอนาคตแต่เป็นเวลาที่เราจะได้อยู่กับตัวเองจริงๆ “
ฟังแล้วน่าสนใจ เราจึงให้ครูแพรวขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโฟกัสที่ปัจจุบัน
“แพรวคิดว่า การที่เราเฝ้า หรือการที่เราเครียด มันคือการที่เราคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว กับคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น มันเลยเกิดเป็นความวิตกกังวล แต่ถ้าเราโฟกัสอยู่กับสิ่งที่ทําอยู่ตอนนี้ ซึ่งมันยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันก็ไม่น่าจะทําให้เราเศร้าหรือเครียด สุดท้ายพอเราไม่ได้มีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน เราก็จะกลับไปเศร้าหรือเครียดเหมือนเดิมเพราะฉะนั้นออกกําลัง หรือแม้กระทั่งโยคะมันก็เป็นวิธีนึง ที่ทําให้เราได้ดึงสติตัวเองกลับมาได้ดีขึ้น”
จุดเริ่มต้นของการที่คิดว่าจะเริ่มออกกำลังกายคืออะไร ?
“ตอนเป็นวัยรุ่นก็อยากสวยหุ่นดีค่ะ เราก็เริ่มออกกําลังจากจุดประสงค์ว่าเราจะผอม ซึ่งแพรวว่าคนส่วนใหญ่ที่เริ่มออกกําลัง ตอนอายุประมาณนั้น ก็อาจจะมีความคิดอย่างงั้นแหละ แต่พอออกมาถึงจุดนึง มันถึงได้รู้ว่าความผอมไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ว่ามันคือประโยชน์อะไรบ้างที่เราได้รับจากการออกกำลัง”
ครูแพรวคนที่ยังไม่ได้ออกกำลังกาย กับที่ออกกำลังกาย แตกต่างกันมั้ยคะ ?
“แพรวมี motto เป็นของตัวเองก็คือ ‘Discipline is a key to success’ ก็คือเราทําอะไรเราควรมีระเบียบวินัยในตัวเอง คือใช้ชีวิตด้วยการที่เราจัดระเบียบความคิด จัดระเบียบว่าตัวเองควรจะทําอะไรบ้างในแต่ละวัน แล้วก็การที่เราออกกําลังมันก็เป็นหนึ่งในในกิจกรรมที่เรารู้สึกว่า มันควรจะต้องทําทุกวัน เพราะว่าประโยชน์มันเยอะมาก คือการที่เราคิดว่าเราจะทําแต่เราทําไม่ได้ มันทําให้เรารู้สึกว่าทําไมเราถึงเป็นคนที่ปล่อยปละละเลยตัวเอง ทําไมเราเป็นคนที่แบบว่าคิดจะทําแต่ก็ไม่ทําสักที ไม่ลงมืออะไรแบบนี้ค่ะ
พอการที่เราทําอะไรสําเร็จในแต่ละวัน ต่อให้เป็นสิ่งเล็กๆ มันก็ทําให้เรารู้สึกว่าแบบเราภูมิใจ คือเหมือนบางคนอาจจะวาง goal ในชีวิตที่ยิ่งใหญ่ แล้วก็มองแต่ว่าจะไปถึง goal นั้นให้ได้ ถึงจะค่อยแบบรู้สึกแฮปปี้ ค่อยรู้สึกภูมิใจ แต่สําหรับแพรวคือการที่ทําอะไรสําเร็จเล็กๆ แบบเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละวันได้ ก็คือภูมิใจและ แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว goal ใหญ่ เดี๋ยวว่ากัน”
คิดว่าระเบียบวินัยสำคัญแค่ไหน ? กับชีวิตของเรา
“ถ้าเรามีเป้าหมายในชีวิต การที่เราจะเดินไปถึงเป้าหมายให้ได้ มันต้องใช้ทั้งพลังกายแล้วก็พลังใจ แล้วก็ต้องใช้ระเบียบวินัยค่อนข้างเยอะค่ะ มันถึงจะสําเร็จ เอาเรื่องง่ายๆ เช่น สมมุติว่าเรามีเป้าหมายในการออกกําลังว่าเราอยากจะหุ่นดี เราอยากจะมีซิกแพค แต่ถ้าเราไม่ทําตามขั้นตอนที่มันจะทําให้เราพาไปถึงจุดนั้นได้ มันก็จะไม่เกิดผลเพราะฉะนั้นแบบระเบียบวินัยมันสําคัญ”
ถ้าอย่างนั้น การออกกำลังกายจะช่วยให้คนเรามีระเบียบวินัยมากขึ้นได้มั้ย ?
“มันก็เป็นสิ่งที่ทําให้เรามีระเบียบวินัยนะ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่แบบเราต้องทํา แล้วถ้าเราสามารถพาตัวเองไปทํามันได้ทุกวัน มันก็คือการที่เราสเต็ปขึ้นไปอีกหนึ่งระดับละในการที่เรามีระเบียบวินัยในตัวเอง”
“เรื่องร่างกาย กับเรื่องการสอน อาจจะแบ่งเป็นสองส่วน เพราะว่า ร่างกายคนเรา สุดท้ายไม่ว่าคุณจะออกกําลังไปถึงจุดไหน มันก็จะมีร่างกายที่แตกต่างกัน อย่างเช่นครูบางคน เค้าอาจจะทําท่าแบบที่สุดยอดได้ กับครูบางคนอาจจะทําได้แค่เนี้ยแต่ว่า เค้าสอนได้ดีมั้ย การสอนมันคือการที่เราได้แชร์สิ่งที่เรารู้ give and take แลกเปลี่ยน แพรวว่ามันคือ mindset ตรงนั้นมากกว่า
คือมันเป็นการฝึก mindset ว่าเราสอนเพื่ออะไร เราสอนเพื่อแบบแบ่งปันความรู้ที่เรามีแล้วก็แชร์กัน หรือว่าเราแค่อยากจะไปอวดว่าตัวเองรู้อะไรบ้าง ทําอะไรได้บ้าง มันต่างกัน เพราะว่ามันคือการฝึก mindset แล้วก็คนที่มาเรียนกับเรา เค้ารู้สึกได้ว่าเวลาเค้าก้าวเดินเข้าไป ครูคนนี้ welcome มั้ย ครูคนนี้เค้ามาเพื่อแบ่งปัน หรือครูคนนี้เค้ามาเพื่ออวดองค์ความรู้ของตัวเอง คือคนเรียนเค้ารู้สึกได้”
ใช้เวลานานมั้ยคะกว่าจะมาสอนได้ ?
“ถ้าถามว่าใช้เวลานานมั้ยกว่าจะเป็นครูสอน ใช้เวลาไม่นานค่ะ พอเรียนจบแล้วสอนเลย แต่กว่าที่จะก้าวผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาจนถึงจุดนี้ได้ใช้เวลานาน เพราะว่าคนเราเวลาเริ่มทําอะไร เรามักจะทําได้ไม่ดีหรอก มันก็ต้องโดนคนไม่โอเค คนไม่ชอบ ไปสอนแล้วเค้ารู้สึกว่าเราไม่ดีแบบให้เลิกสอนที่นี่ซะ หรืออะไรแบบนี้ แพรวว่าคนส่วนใหญ่ก็ต้องเจอ อยู่ที่ว่าเรา handle ยังไง คือแพรวไม่เคยมองว่า เราไม่เก่ง จะเลิกทํา แต่คือเรามองว่าการที่เค้าบอกอะไรเรามา เราจะรับฟังฟีดแบค แล้วเราก็จะเอาข้อเสียที่เราคิดว่ามันเอามาปรับปรุงได้มาปรับปรุง แต่ว่าถ้าเป็นอะไรที่มันบั่นทอนอย่างเช่นมันไม่ได้นําพาอะไร แพรวก็จะปล่อยทิ้ง”
“ถามว่าเป็นไปตามฝันมั้ย คือฝันแรกมันไม่ใช่สิ่งนี้ แล้วก็ฝันที่สองมันก็คือ แพรวไม่ได้มีความฝันอะไรที่แบบชัดเจนขนาดนั้น แต่แพรวมองว่ามันคือสเต็ปของชีวิตที่อายุเท่านี้ เราทําได้ประมาณนี้ แล้วอายุเท่านั้น เราสามารถก้าวต่อไปได้แค่ไหน การที่เราไม่ได้ย่ำอยู่ที่เดิมตลอดไป 10 ปี แพรวก็ถือว่ามันก็คือพัฒนาการอย่างหนึ่ง”
“แพรวอยากให้ทุกคนลองเริ่มจากการ set small goal อย่างเช่นว่า แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า อาทิตย์นี้ฉันจะลดน้ําหนักให้ได้สามโล แต่เปลี่ยนเป็นอาทิตย์นี้ฉันจะออกกําลังวันละ 10 นาทีให้ได้ ค่อยๆ พัฒนาทําให้มันเป็นนิสัย แล้วก็เพิ่มมันไปเรื่อยๆ ค่ะ แล้วเวลาที่เราแบบ achieve อะไรเล็กๆ น้อยๆ เราจะเกิดความภูมิใจในตัวเอง แล้วมันจะทําให้เรารู้สึกว่าเราอยากจะทํามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการที่ตั้งเป้าหมายใหญ่เกินไป บางทีเราท้อก่อนที่เราจะไปถึง”
เห็นด้วยกับครูแพรวนะคะ เรื่องของระเบียบวินัย และการตั้งเป้าแบบ small goal นั้นใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตจริงๆ แค่เราปรับ mindset สักนิด โดยการตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ ว่าเราคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ ไม่ใช่คนอื่นจะมองยังไง แค่นี้เราก็มองตัวเรา มองโลก มองคนรอบข้างเปลี่ยนไปได้แล้วหล่ะค่ะ
ความถี่ของการออกกำลังกายที่ดีต่อสุขภาพ ควรเป็นเท่าไหร่ ?
“โดยทั่วไปก็ทำ คาดิโอสร้างความแข็งแรงของหัวใจ สัก 150 นาที ต่อสัปดาห์ แล้วก็เล่นเวทเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ สักประมาณอาทิตย์ละ 2 ถึง 3 ครั้ง แล้วก็อีกอย่างนึงที่สําคัญมากในยุคนี้ก็คือ การที่เรามี mobility กับ flexibility เพราะว่าเดี๋ยวนี้ คนส่วนใหญ่ก็คือนั่งทํางานหน้าคอม จับโทรศัพท์ ทําให้เราเสีย mobility กับ flexibility ของร่างกาย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่สําคัญค่ะ เพราะว่ามันจะช่วยลดอาการบาดเจ็บในการออกกําลังหรือการใช้ชีวิตได้ค่อนข้างเยอะ อย่างแพรวคือเห็นได้ชัดเลย สมัยที่แพรวทํางานสอนโยคะ พิลาทิสอย่างเดียว ร่างกายยืดหยุ่นดีมาก รู้สึกทําอะไรเราก็จะมีวันเจ็บ แต่พอเราเริ่มมาทํางานออฟฟิศมากขึ้นใช่ไหมคะ รู้สึกว่าถ้าเราเอี้ยวตัวผิดจังหวะเราต้องเจ็บแน่เลย มันก็ส่งผลเยอะ”
“อยากให้ลองเริ่มจากการทํา stretching ง่ายๆ ค่ะ การฝึกโยคะ กับการ stretching จริงๆ มันก็จะต่างกันตรงที่ stretching มันก็คือการยืดเหยียด แต่โยคะมันมีเรื่องของ mind and body connection เข้ามาด้วยกัน คุณอาจจะเริ่มจากการทํา stretching ควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิฝึกลมหายใจสัก 5 นาที อะไรแบบนี้ค่ะ เพื่อให้เราได้ โฟกัสกับตัวเองมากขึ้นแบบนี้ก็ได้
เปิดคลิปในยูทูบดูก็ได้ หรือว่าแบบก่อนนอน คือแพรวแนะนำนักเรียนเยอะมาก พวกนักเรียนที่ตัวตึง แพรวก็บอกว่าก็ปู mat ทิ้งไว้เลยแล้วก็นอนก็ลง mat สัก15 นาที แล้วก็ค่อยขึ้นเตียงนอนอะไรแบบเนี้ย คือพอเราเห็นมันปูไว้เราจะรู้สึกว่าเราต้องลงไปซะหน่อย แต่ถ้าเราแบบวางเก็บไว้ mat อะไรนั้นก็คือเปื่อยละ ยังไม่ได้ปูเลย (หัวเราะ)”
จริงๆ แล้ว โยคะ คือ อะไร ?
“โยคะ มันคือการฝึกรูปแบบหนึ่งนะคะ ที่หลักๆ มาจากอินเดีย แต่สมัยนี้มันก็มีพัฒนาการที่แบบ revolution ปรับเปลี่ยนอะไรไปมากมาย แต่ว่าหลักๆ แล้ว แพรวว่ามันคือการฝึก mind and body connection เข้าด้วยกัน การฝึกโยคะมันมีทั้งแบบที่ง่าย กับการฝึกที่แบบยากมากๆ มันอยู่ที่จุดประสงค์ของเรามากกว่าว่าเราต้องการอะไรจากสิ่งนั้น อย่างเช่น ในตอนที่แพรวเริ่มฝึกตอนแรก แพรวก็มีจุดประสงค์ว่าอยากฝึกแบบออกกําลังง่ายๆ แต่พอเราได้ฝึกไปเรื่อยๆ เราเห็นว่าแบบจริงๆ มันมีอะไรที่สนุกแล้วก็ชาเลนจ์มากกว่านั้น เราก็ถึงจะเริ่มมาฝึกอะไรที่ยากขึ้น”
โยคะ ช่วยเยียวยาเรายังไงบ้างคะ ?
“เอาจริงๆ แพรวว่ามันคือในเรื่องของสมาธิที่ค่อนข้างเเบบมีประโยชน์มากๆ อย่างบางคนไม่สามารถนั่งสมาธิได้ รู้สึกจิตใจวอกแวก แต่เวลาที่ฝึกโยคะ คือเราจะได้โฟกัสแล้วเราจะมีสมาธิโดยที่เราใช้การเคลื่อนไหวประกอบไปด้วย มาโฟกัสลมหายใจอย่างเช่นการฝึกพวกบาลานซ์อย่างเงี้ย ถ้าสมมุติว่าเราไม่มีสมาธิ เราหลุดปุ๊บเราก็ล้ม มันก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง”
แล้ว โยคะ มีกี่ประเภท ?
“จริงๆ โยคะ มีเยอะมากเลยค่ะ แต่ว่าหลักๆ ที่คนฝึกกันก็จะมีเป็นแบบพวก Vinyasa เป็น Hatha เป็น Ashtanga หรือว่าเป็น หยิน เป็น Iyengar อะไรพวกนี้ ก็จะเป็นที่คนเขาฝึกกันเยอะๆ ซึ่งแต่ละอันก็จะไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพวก Vinyasa มันก็จะเน้นความแข็งแรง เป็น movement การเคลื่อนไหว ในขณะที่ Hatha ก็อาจจะมีความที่ซอฟท์ลงมาหน่อย แล้วก็สุดท้ายก็คือเป็นพวกหยิน ที่เราจะเน้นการแบบยืด การค้างท่าเพื่อคลายข้อต่อแล้วก็แบบกล้ามเนื้อตึง แต่ไม่ว่าจะเป็นโยคะประเภทไหน แพรวมองว่ามันมีประโยชน์เหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าเราฝึกแล้ว เราฝึกแบบอยู่ในลิมิตที่ร่างกายรับไหวหรือเปล่า”
โยคะ กับ พิลาทิส ต่างกันยังไงคะ ?
“จริงๆ ต่างกันนะ โยคะเนี่ย จุดประสงค์คือการสร้างความยืดหยุ่นใช่ไหมคะ แล้วก็สร้างความแข็งแรงซึ่งโยคะหลายๆ ท่า จะเห็นว่ามันเป็นการฝึกที่มันหลุดเกินกว่าร่างกายคนปกติจะทําได้ มันเกิน anatomy ร่างกายไปแล้ว มันคือการฝึกแล้วเรียนรู้ว่าทํายังไงให้มันไม่บาดเจ็บ คือมันเกินจริงแต่ว่าเกินยังไงเราถึงจะไม่บาดเจ็บ แต่ว่า พิลาทิส เค้าจะเน้นการฝึกอยู่ในระเบียบ alignment ของร่างกาย เป็นการฝึกสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลําตัวจากข้างในแล้วก็เป็นการจัดระเบียบของร่างกายให้มันอยู่ใน posture ที่ดี แล้วก็ถูกต้องแบบนี้มากกว่า สังเกตว่าแบบอย่างแพรวเนี่ย ฝึกโยคะมาก่อนแล้วเป็นคนที่ตัวยืดมาก แต่พอแพรวมาฝึกพิลาทิส แพรว hold ไม่อยู่เลยเพราะว่าตัวแพรวมันจะออกไปตลอดเวลา ยืดตลอดเวลาแบบนี้ค่ะ มันคือบาลานซ์มากกว่า”
“ก็อยากให้เริ่มเถอะ เพราะว่ามันมีประโยชน์ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าประโยชน์ของการออกกําลังคืออะไร เพียงแต่ว่า เราไม่รู้ว่าอะไรที่กั้นเราไว้จากการทําสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเราอาจจะต้องลองเปลี่ยนความคิดดู เหมือนที่บอกว่าการออกกําลังเราทําเพื่ออะไร แล้วหาจุดประสงค์ที่เราจะทําตรงนั้นให้ได้ก่อน แล้วก็เริ่มทีละนิดนะคะ เหมือนการที่เราค่อยๆ ทําไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพอวันนึงมันติดเป็นนิสัยเราจะเสพติด แล้วเราจะหยุดทําไม่ได้”
“จริงๆ แพรวก็ขอบคุณตัวเองอยู่บ่อยๆ บอกตัวเองว่าเก่งนะเนี่ย ทํามาได้ขนาดนี้ เพราะว่าคือพอเรามองย้อนกลับไปจากจุดเริ่มต้นที่เราเป็นเด็กแบบเด๋อๆ เลย เราก็เดินไปที่แบบสตูดูดิโอ แล้วก็บอกเค้าว่าขอสอนหน่อย คือแพรวก็โชคดีด้วยแหละที่คนส่วนใหญ่เขาเอ็นดู เขาก็ให้โอกาสเรา เค้าก็รู้แหละว่าเราไม่เก่ง สอนไม่ดี แต่ว่าเขาก็คอยช่วยเหลือ คอยให้โอกาส เราก็ appreciate ทุกคนที่ให้โอกาสเราตลอดเวลา แล้วก็จนมาถึงจุดที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย เราโตมาอีกขั้นนึงนะ เราได้เข้ามาทําในทํางานในฟิตเนสที่ใหญ่ขึ้น ต้องพัฒนาตัวเอง
มันก็มีช่วงที่เรารู้สึกว่าเรา burnout เราอยากหยุดพัก เราเกิดคําถามกับตัวเองว่าเลือกถูกมั้ย แบบเส้นทางเนี่ยถูกเปล่า หรือเราจะลองไปทําอะไรใหม่ๆ หรือเราจะเลิกทําไปเลยดี ยิ่งในช่วงโควิดอ่ะค่ะ ที่ฟิตเนสปิดแบบเกือบสองปี แล้วมันเป็นช่วงที่เราเพิ่งจะเริ่มจริงจังกับชีวิต เรา 20 กว่าๆ พอดี เราก็เกิดคําถามเยอะมาก แต่เราก็รู้สึกว่าเออ ไหนๆ เราก็เลือกแล้ว เราก็ต้องลองทําให้สุด จนวันที่มาถึงตรงนี้ได้ ก็พอมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าแบบ อืม..เก่งจัง ถึงจะยังไม่ได้แบบเก่งที่สุด แต่เราไม่ได้เอาตัวเองไปเปรียบกับใครอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าเราทําได้เท่านี้ เราก็ภูมิใจ”
ครูแพรวก้าวข้าม ความรู้สึกที่ว่า เราจะไปต่อดีมั้ย ? มายังไงคะ ?
“คือแพรวก็ต่อสู้กับตัวเองเยอะมากนะคะ เพราะว่าเราไม่ได้จบสายนี้มากใช่มั้ย แล้วก่อนที่แพรวจะมาสอนโยคะ แพรวเคยทําฟรีแลนซ์ทั้งเขียนบทความ เขียนคอนเทนต์ เขียนนิยายนู่นนี่นั่นคือไปสายนั้นแล้วก็มาสอนโยคะควบคู่กันไปด้วย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจตัดทางนั้น แล้วก็มาเอาจริงเอาจังทางด้านนี้ มันก็เลยทําให้เกิดความรู้สึกว่า เออ เราอุตส่าห์ทิ้งอย่างอื่นไว้ข้างหลังแล้ว เราอุตส่าห์ตัดสินใจเลือกทางเนี้ย แล้วเรายังไปไม่สุดเลย ถ้าสมมุติว่าเราตัดสินใจที่จะหยุด เราก็ไม่ได้เห็นสิว่า อนาคตจะเกิดอะไรต่อ
ตอนนั้นก็เลยรู้สึกว่า ก็ลองทําอีกสักตั้งเพราะว่าคือโอกาสในชีวิตมันก็ไม่ได้เข้ามาบ่อยๆ ใช่มั้ยคะ เวลาได้โอกาสจากอะไรคือแพรวจะไม่ค่อยเกิดคําถามว่า จะทําได้มั้ย แต่แพรวจะทําไปก่อน เดี๋ยวมันก็ได้แบบนี้มากกว่า ก็เลยรู้สึกว่าพอเราคิดแบบเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ว่าแบบ เออ เราอุตส่าห์ทิ้งอะไรมาบ้างเพื่อมาทําสิ่งนี้ มันก็ทําให้รู้สึกว่า งั้นเราก็ลองทําต่อดีกว่า ถ้าสมมุติว่าสุดท้ายผลลัพธ์มันไม่ได้เป็นเหมือนที่เราหวัง คือเราหยุดทําตอนไหนมันก็ได้เหมือนกันนะ แต่มันคงไม่ใช่ตอนนั้น มันยังไปต่อได้ แต่ถ้ารู้สึกว่ามันถึงทางตันแล้ว อันนั้นอ่ะ เราค่อยหยุดจริงๆ ก็ได้”
การต่อสู้กับใจตัวเองเป็นอะไรที่ทำยากมากเลยนะ อยากให้ครูแพรวแชร์เรื่องนี้เพิ่มหน่อยค่ะ
“จริง มันเป็นอะไรที่แบบยากมากมากเลยนะ การต่อสู้กับใจตัวเอง เพราะว่าคนรอบตัวเราแม้กระทั่งแบบพ่อของแพรว คือทั้งบ้านออกกําลังหมด แต่พ่อไม่ยอมออก หรือเพื่อนแพรวที่ใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงปาร์ตี้หนังหนักมาก แบบทํางานหนักมากแล้วทุกคนก็บอกว่าเฮ้ย ออกกําลังเหอะ เพื่อนก็แบบเออ ก็รู้นะว่าดี แต่ไม่อยากทําอะไร แพรวว่ามันคือการต่อสู้กับจิตใจของตัวเองค่ะ
การที่เรารักตัวเองแล้วก็เลือกที่จะมอบสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง คือมันคือเวลาที่เราตัดสินใจว่าเราจะรักตัวเองอ่ะ มันคือการที่เรามองผลระยะยาว มันไม่ใช่การที่เรารู้สึกว่าเรารักตัวเองเราจะมอบความสุขให้ตัวเองวันนี้ เราก็แบบไปซื้อของให้ตัวเองเลย อันนั้นมันคือความสุขระยะสั้นใช่มั้ยคะ แต่ว่าการที่เราทําอะไรที่มันจะส่งผลต่ออนาคตในระยะยาวมันคือ การที่เราทําให้ตัวเองจริงๆ ถ้าเราแบบมองแบบนั้น มันก็อาจจะทําให้เราเปลี่ยนความคิดได้บ้าง ว่าเออจริงๆ การออกกําลังมันก็ส่งผลต่อเราระยะยาวนะ
หรือการที่คนที่ยังไม่เคยได้ออกได้ลองเข้ามาในคอมมูนิตี้ที่ทุกคนเค้าออกกําลัง มันอาจจะทําให้เราเปลี่ยนความคิดก็ได้ อย่างแพรวอย่างเงี้ย ไอดอลแพรว ไม่ใช่แบบคนหุ่นดีตอนอายุ 30 นะ แต่เป็นพี่ๆ ที่เค้าแบบ 65 70 แล้วเค้ายังยกเวทได้อยู่ คือพอมองไปไกลขนาดนั้นว่า คนนั้นแหละไอดอลเรา คือเราอยากเป็นอย่างงั้นตอนที่เราแก่”
Inspire Now ! : จู่ๆ เราคิดว่า เราทุกคนที่ใช้ชีวิตแล้ว เกิดความรู้สึกว่าเครียด burnout หรือว่าเกิดคำถามว่าเราเลือกถูกหรือเปล่า บางนี้มันอาจหมายถึงว่า พวกเรากำลังตั้งใจใช้ชีวิตมากเกินไปอยู่ก็ได้ หากรู้สึกแบบนั้น ให้ลองหยุดพัก คุยกับตัวเองจริงๆ จังๆ ด้วยคำถามง่ายๆ ว่าเราอยากทำอะไรตอนนี้ อยากกินอะไร ค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเอง แล้วค่อยๆ หาทางออก การเริ่มต้นยอมรับกับตัวเองจริงๆ ว่าเราเลือกแล้ว เหตุการณ์นั้นมันเกิดไปแล้ว และค่อยๆ หาทางออกก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้เรารับมือได้ดีขึ้น และบอกตัวเองได้ในที่สุดว่า เราเก่งเหมือนกันนะเนี่ย อย่างที่ครูแพรว ได้บอกกับตัวเองนั่นเองค่ะ |
---|
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมหรือเปล่า ? บทสัมภาษณ์ครูแพรวทำให้คุณอยากเริ่มดูแลตัวเอง บอกรักตัวเอง สร้างความภูมิใจให้ตัวเองหรือเปล่า คอมเมนต์มาพูดคุยกันนะคะ ♡
ชวนมาดูไอเดีย ออกแบบปฏิทิน ตั้งโต๊ะ สวยๆ พร้อม how to ที่ทำตามได้ง่ายๆ ออกแบบเองได้ตามความคิดสร้างสรรค์ และการใช้งาน ใช้เองก็ได้ ให้คนอื่นก็ดี
เกษียณแล้ว ทำอะไรดี แนะนำ อาชีพหลังเกษียณ พร้อมคำแนะนำในการเลือก ให้คุณได้ใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข และรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง
ชวนดูวิธี โสดอย่างมีความสุข เอาใจสาวโสดทั้งที่ตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ พร้อมแชร์นิยาม โสด หมายถึง อะไร พร้อมวิธีพัฬฒนาตัวเองที่ทำได้จริง