Gap Year คืออะไร, Gap Year คือ

Gap Year คืออะไร ? จำเป็นไหม ? มาดูข้อดีของการมี Gap Year หลังเรียนจบกันเถอะ !

สำหรับน้องๆ ในช่วงชั้นมัธยมปลายแล้ว เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ต้องเริ่มวางแผนที่จะเรียนต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อในประเทศหรือต่างประเทศก็ตาม ถ้าเป็นในไทยเราและต้องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐ ก็จะต้องผ่านการสอบตรงหรือยื่น Admission เลือกคณะและมหาวิทยาลัยที่เรียนช่วงที่ยังไม่จบชั้นมันธยมหกเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนที่ต้องการเรียนมหาวิทยาลัยเปิดหรือมีแผนว่าอยากจะไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเรียนในคณะไหนดี การมี Gap Year ก็อาจจะช่วยให้เราได้คำตอบกับตัวเองมากขึ้น แล้วการมี Gap Year คืออะไร ? ทำไมถึงช่วยในเรื่องการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยของเรา ไปดูกันเลยค่ะ

Gap Year คืออะไร ? ทำไมถึงต้องมี Gap Year กัน !

Gap Year คืออะไร, Gap Year คือ
Image Credit : freepik.com

สำหรับในไทยเราอาจจะไม่คุ้นเคยกับการมี Gap Year กันมากนัก เพราะระบบการศึกษาในประเทศไทยเป็นระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต่อทันที แต่สำหรับต่างประเทศ อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา หรือในยุโรปที่มีมหาวิทยาลัยเปิดมากมาย บางคนก็เลือกที่จะมี Gap Year กัน แล้ว Gap Year คืออะไร ? การมี Gap Year เป็นการหยุดพักการเรียนโดยประมาณ 1 ปีหลังจากจบชั้นมัธยมปลาย เพื่อเป็นการใช้เวลาไปกับด้านอื่นๆ ของชีวิตนอกเหนือไปจากการเข้าเรียนในสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเป็นอาสาสมัคร หรือไปท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยมีแนวคิดคือ ให้นักเรียนได้หยุดพักจากการศึกษาเล่าเรียน และมีเวลาคิดไตร่ตรองถึงความต้องการของตัวเองจริงๆ ว่าอยากจะเรียนต่อในสายไหน หรืออยากจะทำอะไร ด้วยการออกไปหาประสบการณ์เพิ่มเติม เพราะสำหรับบางคนอาจจะยังตัดสินใจไม่ได้ว่า อยากจะเรียนต่อด้านไหนในระดับมหาวิทยาลัย การมี Gap Year จึงเป็นการใช้ช่วงเวลานี้เพื่อค้นหาตัวเอง และคิดทบทวนถึงสิ่งที่อยากจะต่อยอดทางการศึกษาในอนาคตนั่นเองค่ะ

Gap Year คืออะไรที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน และมีนักเรียนที่จบจาก High School ใช้เวลาหยุดพักก่อนเข้าศึกษาต่อมากขึ้น ในช่วงปี 2016 Malia Obama ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ Barack Obama ก็ได้มีการประกาศว่า ตัวเองจะมี Gap Year ก่อนเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย หลังจากนั้น คำว่า “Gap Year” ก็ถูกค้นหาในกูเกิลอย่างล้นหลาม ทั้งนี้ Cathleen Sheils รองผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายให้คำปรึกษาวิทยาลัยที่ Solomon Admissions Counseling ในนิวยอร์กก็ให้ความเห็นว่า หากใช้ช่วงเวลาของการมี Gap Year อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้รู้แนวทางในการศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยได้อย่างแน่วแน่ชัดเจนมากขึ้น

ข้อดีของการมี Gap Year คืออะไร ?

Gap Year คืออะไร, Gap Year คือ
Image Credit : freepik.com

ตอนนี้ก็ได้รู้ความหมายของ Gap Year กันไปแล้ว แม้ในไทยเราอาจจะยังไม่เป็นที่นิยมนัก แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ต้องการจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยรัของรัฐ ที่จะต้องมีการสอบโควต้าหรือ Admission ในทันทีที่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย และกำลังตัดสินใจว่าเราจะมี Gap Year ดีหรือไม่ ? ลองมาดูข้อดีของการมี Gap year กันค่ะ

1. ได้มีประสบการณ์จากการทำงาน

ช่วงเวลาของการเรียนในชั้นมัธยมปลายนั้น เราก็ต้องให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นหลัก บางคนอาจจะอยากทำงานเสริมหรืองาน Part time ที่เกี่ยวข้องกับคณะที่อยากเรียนต่อ แต่ก็ไม่ได้มีเวลามากพอ เช่น อยากลองมีประสบการณ์ด้านการออกแบบเสื้อผ้าเพื่อที่จะตัดสินใจได้ว่า จะเรียนสายแฟชั่นดีหรือไม่ การใช้ช่วงเวลา Gap Year เพื่อลองทำงานที่อยากทำ ก็จะช่วยให้เรามีประสบการณ์จากการทำงานจริง และทำให้เรามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่มากขึ้น ได้รู้ว่าสิ่งที่เราจะเลือกเรียนต่อนั้น เป็นสิ่งที่เหมาะกับเราจริงๆ หรือไม่ สอดคล้องกับเป้าหมาย ความต้องการ และทักษะความสามารถของเรามากน้อยขนาดไหน เพราะการสมัครเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าจะเปลี่ยนคณะหรือเปลี่ยนสายที่เรียนได้ตามใจ การมีประสบการณ์จากการทำงานที่เกี่ยวข้องก่อน ก็จะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างรอบครอบมากขึ้น

2. ได้หยุดพักเพื่อเติมพลัง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงชีวิตของการเป็นนักเรียนนั้น ทุกๆ คนก็ต่างเคร่งเครียดไปกับการเรียนอย่างหนักหน่วง เราใช้เวลาในการเรียนหนังสือตั้งแต่อายุประมาณ 4 ขวบ ไปจนถึง 18 ปี ซึ่งอาจทำให้เราไม่ได้ใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ อย่างเช่นการทำกิจกรรมนอกรั้วโรงเรียน การค้นหางานอดิเรกที่ชอบหรือสิ่งที่สนใจเพิ่มเติม และบางคนอาจถึงขั้นหมดไฟในการเรียนได้ การหยุดพักจากการเรียนหรือการมี Gap Year คืออะไรที่จะช่วยชาร์ตพลังของเราได้ และทำให้เรามองเห็นความต้องการของตัวเองมากขึ้นว่า เราอยากจะศึกษาเพิ่มเติมในคณะใดหรือเส้นทางใด เพราะบางครั้งการเลือกคณะที่เรียนต่อด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว ไม่อยากเรียน แต่ก็ต้องเลือกเพราะกรอบเวลาที่กำหนด ก็อาจทำให้เราเลือกสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของตัวเองก็เป็นได้

ผ่อนคลายกายใจ ไปกับกิจกรรมน่าสนใจ ในราคาพิเศ

3. ได้สำรวจโอกาสใหม่ๆ

ช่วงเวลาของการมี Gap Year คือช่วงเวลาแห่งการค้นหาตัวเอง การออกไปท่องเที่ยว ไปทำกิจกรรมอื่นๆ ไปเป็นอาสาสมัคร หรือไปทำงาน Part time จะทำให้เราได้มองเห็นโอกาสต่างๆ มากขึ้นนอกเหนือจากการใช้ชีวิตอยู่ในห้องเรียน ทำให้เราได้เห็นว่ามีงานหรือมีอาชีพอื่นๆ อีกมากมายที่อยู่นอกเหนือความสนใจของเรา เป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้น ได้เห็นโอกาสในชีวิตมากขึ้น เพราะยังมีสิ่งที่ให้ได้เรียนรู้ให้ได้สัมผัสนอกเหนือไปจากตำราเรียนอีกมากมาย ทำให้เรามีมุมมองเกี่ยวกับการเรียนต่อที่เปลี่ยนแปลงไป และอาจค้นพบสิ่งที่ใช่มากขึ้นก็ได้ ทั้งยังเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิตอีกด้วย

4. ได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ในชีวิต

Gap Year คืออะไร, Gap Year คือ
Image Credit : freepik.com

เมื่อเราได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต เราก็จะได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ มากขึ้นด้วย จากบางคนใช้เวลาช่วง Gap Year ไปกับการทำงานพิเศษ แน่นอนว่าจะต้องได้เรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ เพิ่มเติมอย่างแน่นอน ทั้งยังได้เรียนรู้การเข้าสังคม ได้ฝึกทักษะการอยู่ร่วมกับคนหลากหลายเจนเนอเรชั่น ซึ่งทักษะการอยู่ร่วมกับคนที่แตกต่างกันนั้น เป็นที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน หากไปเป็นอาสาสมัครโครงการต่างๆ เช่น โครงการครูอาสาในพื้นที่ห่างไกล หรือการช่วยเหลือผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา เชื่อว่าจะได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ในชีวิตที่อยู่นอกเหนือรั้วสถานศึกษาอย่างแน่นอน และถ้าใครเลือกที่จะไปเที่ยวต่างประเทศ ก็จะได้ทักษะการเอาตัวรอดในต่างแดน การดูแลตัวเองในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เรามีการเรียนรู้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีมุมมองใหม่ๆ ในชีวิตมากขึ้น และอาจส่งผลดีต่อการเลือกเส้นทางการเรียนต่อของตัวเองก็ได้นะคะ

5. ได้เก็บเงินมากขึ้น

อีกหนึ่งข้อดีของการมี Gap Year คือ เราสามารถทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องรบกวนทางบ้าน บางคนอาจมีสิ่งของที่อยากได้ แต่การได้เงินค่าขนมไปโรงเรียนในทุกๆ วันอาจทำให้มีเงินเก็บไม่มากพอ หรือบางคนอยากไปท่องเที่ยวต่างประเทศหรือมีทริปยาวๆ สักครั้งในชีวิตก่อนที่จะต้องไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยอย่างเข้มข้นเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปี Gap Year คืออะไรที่สามารถทำให้เรามีเวลาไปทำงานเพื่อเก็บเงินได้ นอกจากจะได้เก็บเงินแล้ว ยังได้ประสบการณ์จากการทำงานอีกด้วย จากนั้นก็ทำตามเป้าหมายได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของที่อยากได้ เตรียมตัวออกเดินทาง หรือจะเก็บเงินไว้เพื่อเป็นเงินสำรอง ในกรณีที่เราต้องใช้เงินกะทันหันก็ได้เหมือนกันนะ

ซื้อประกันท่องเที่ยว อุ่นใจ ทุกการเดินทาง

การมี Gap Year มีข้อเสียบ้างไหม ?

แม้ว่าการมี Gap Year จะมีข้อดีหลายอย่าง หลักๆ คือการมีเวลาเพิ่มเติมในการออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อค้นหาตัวเอง ทั้งนี้ การมี Gap Year ก็อาจมีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกัน ข้อเสียของการมี Gap Year คืออะไรนั้น ไปดูกันเลยค่ะ

1. อาจปรับตัวเข้ากับชีวิตในฐานะการเป็น “นักเรียน” ยากขึ้น

เมื่อเราใช้เวลาในช่วงการมี Gap Year เป็นเวลา 1 ปี เพื่อไปทำสิ่งต่างๆ บางคนอาจจะไปทำงาน บางคนไปทำกิจกรรมอาสาสมัคร ไปท่องเที่ยว หรือไปใช้ชีวิตอื่นๆ ซึ่งก็อาจทำให้รู้สึกไม่อยากกลับมานั่งเรียนในห้องเรียนเหมือนเดิม หรือนิสัยการเรียนของเราอาจจะเปลี่ยนไป เช่น เบื่อการนั่งฟังแลกเชอร์จากอาจารย์เพราะคิดว่ามีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านี้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ชอบการเล่าเรียนหรืออยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ อาจจะต้องพิจารณาการมี Gap Year ของตัวเองว่า การมี Gap Year คือสิ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้เราได้มีแนวทางการศึกษาต่อเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้เราละทิ้งความตั้งใจในการศึกษาต่อของตัวเองไป

2. รู้สึกว่าตามหลังเพื่อนๆ

Gap Year คืออะไร, Gap Year คือ
Image Credit : vecteezy.com

บางครั้งการมี Gap Year อาจทำให้เรารู้สึกตามหลังเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันในเรื่องของการเรียน เช่น เพื่อนๆ แต่ละคนได้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว แต่เรายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเรียนต่อในคณะไหนดี หรือเราอาจจะกลายเป็นรุ่นน้องของเพื่อนก็ได้ ทั้งนี้ ถ้าคิดว่าเราไม่ได้กังวลกับตรงนี้มากเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร เพราะปัจจุบัน มีผู้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้วยอายุที่หลากหลาย บางสถาบันเปิดหลักสูตรการเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็สามารถสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งอาจเป็นในรูปแบบของการเรียนออนไลน์ หรือเป็นคอร์สที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปสมัครเรียน ถ้าเราไม่ได้คิดมากในส่วนนี้ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาค่ะ

3. แรงจูงใจในการเรียนหายไป

ในช่วงรอยต่อระหว่างการเรียนในชั้นระดับมัธยมปลายและการเข้ามหาวิทยาลัย ในคนที่เรียนต่อทันทีโดยไม่มี Gap Year นั้น ก็อาจจะมีแรงจูงใจและมีไฟในการเรียนอย่างเต็มที่ เพราะมีความต่อเนื่องกัน แต่สำหรับคนที่หยุดพักจากการเรียนไป 1 ปี อาจทำให้รู้สึกว่า ไม่มีแรงจูงใจในการเรียนต่อเท่าไหร่นัก และอาจเกิดความขี้เกียจที่จะเข้าศึกษาต่อได้ ทั้งนี้ ก็มีการศึกษาว่า คนที่มี Gap Year โดยส่วนใหญ่แล้ว ประมาณ 90% ก็กลับมาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ดังนั้น อาจเป็นส่วนน้อยที่จะรู้สึกว่าไม่มีแรงจูงใจในการเรียนจนถึงขั้นตัดสินใจไม่ศึกษาต่อ แต่ถ้าเราวางแผนกับตัวเองไว้แล้วว่า ยังไงก็จะต้องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ก็ไม่น่ากังวลอะไรค่ะ

4. มีค่าใช้จ่าย

สำหรับคนที่ใช้เวลา Gap Year ไปกับการท่องเที่ยวต่างประเทศหรือแม้แต่ในประเทศก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีค่าใช้จ่ายในจำนวนไม่น้อย ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องไปคุยกับผู้ปกครองให้เข้าใจตรงกันว่า เราอาจจะต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นการออกเดินทางค้นหาตัวเอง (ในกรณีที่ไม่มีเงินเก็บเป็นของตัวเองเพียงพอ) ผู้ปกครองบางคนก็อาจจะเข้าใจ แต่บางคนก็อาจจะไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย ซึ่งต้องแล้วแต่บริบททางบ้านของแต่ละคนด้วยว่ามีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ทั้งนี้ ต้องไตร่ตรองให้ดีว่า ค่าใช้จ่ายที่เสียไปนั้น จะก่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตของเราจริงๆ เพราะเราเสียทั้งเวลา เสียทั้งเม็ดเงิน หากใช้ไปอย่างไม่เหมาะสม ก็อาจทำให้การมี Gap Year ของเราสูญเปล่าได้

จองทริปท่องเที่ยว ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก กิจกรรม

Inspire Now ! : หากตัดสินใจจะมี Gap Year สิ่งที่ต้องทำเลยก็คือ เราจะต้องมีการวางแผนว่า เราจะใช้ช่วงเวลาหยุดพักนี้สำหรับการทำอะไร การตัดสินใจเว้นว่างจากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยโดยที่ไม่ได้มีการวางแผนให้ถี่ถ้วนอาจทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือพลาดโอกาสสำคัญทางการศึกษาไป ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจมี Gap Year ต้องคิดทบทวนให้ดีว่า การหยุดพักของเรา ก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเราจริงๆ หรือไม่ ทำให้เราได้มีประสบการณ์มากขึ้น ได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ได้มองหาโอกาสใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อใช้สำหรับการเลือกศึกษาต่อจริงๆ ใช่ไหม เพราะถ้าไม่เป็นไปตามนั้น ก็อาจทำให้เราเสียเวลาไปเต็มๆ 1 ปี ทั้งนี้ ไม่อาจบอกได้ว่า Gap Year เหมาะกับทุกคนหรือไม่ การมี Gap Year คือสิ่งที่แต่ละคนจะต้องวิเคราะห์ตัดสินใจโดยอิงจากตัวเองเป็นหลัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดถูกแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของความเหมาะสมและความพร้อมนั่นเองค่ะ

DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันได้ไอเดียในการค้นหาตัวเองใช่ไหม ? Gap Year คืออะไร ? ก็ได้รู้กันไปเรียบร้อย Gap Year มีความจำเป็นหรือไม่ ? อันนี้ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน ใครมีประสบการณ์การมี Gap Year หรือมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง มาเล่าให้ฟังได้นะคะ ♡

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : gapyearassociation.org, usnews.com, post.edu

Featured Image Credit : freepik.com/freepic.diller

Facebook Comments

ฝันอยากเดินทางท่องโลกให้ได้มากที่สุด สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา รักการอ่านหนังสือ ชอบถ่ายรูป หลงใหลแมวและกาแฟ