design thinking 5 ขั้นตอน, design thinking คืออะไร

Design Thinking 5 ขั้นตอน มีอะไรบ้าง ? รู้จักเครื่องมือจัดระบบวิธีคิดระดับโลก พร้อมตัวอย่างเข้าใจง่าย ทำตามได้เลย !

ปัจจุบันมีแนวคิดหรือโมเดลธุรกิจมากมายที่นิยมนำมาใช้เพื่อพัฒนาองค์กรหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น SWOT Analysis เพื่อการวิเคราะห์ธุรกิจ หรือโมเดลธุรกิจอื่นๆ รวมถึง Design Thinking ที่หลายๆ คนอาจเคยได้ยินกันมาบ้าง ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีหนังสือแนวพัฒนาตัวเองที่ชื่อ “Designing youe life : คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking” ออกวางจำหน่ายและอาจกล่าวได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกคนรู้จักกับคำว่า “Design Thinking” กันมากขึ้น

ชวนรู้จัก Design Thinking 5 ขั้นตอน พร้อมวิธีนำไปปรับใช้ให้งานการสำเร็จ !

design thinking process 5 ขั้นตอน, design thinking คืออะไร
Image Credit : freepik.com

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือมาก่อน ก็คงจะทราบว่า หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงการนำเอาแนวคิด Design Thinking มาปรับใช้ในการออกแบบชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงานหรือการดำเนินชีวิต ให้เป็นชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่ถ้าใครไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน และกำลังสงสัยว่า Design thinking คืออะไร ? ในบทความนี้ DIYINSPIRENOW เรามีคำตอบมาให้คุณค่ะ มาไขความให้กระจ่างกันว่า  Design Thinking  Process ประกอบไปด้วยขั้นตอนที่มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ตัวอย่างที่ให้คุณเป็นไอเดียเพื่อนำไปปรับใช้กับชีวิตของคุณ พร้อมมาดูกันว่า มีองค์กรใดบ้างที่นำแนวคิดนี้ไปใช้และประสบความสำเร็จ เผื่อคุณจะได้นำเอาไปปรับใช้กับตัวเองให้ชีวิตหรือธุรกิจของคุณสำเร็จยิ่งกว่าเดิมกันค่ะ

หนังสือ Designing Your Life คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking

Design Thinking คืออะไร ?!

design thinking process 5 ขั้นตอน, design thinking คืออะไร
Image Credit : freepik.com

Design Thinking เป็นกระบวนการคิดในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และส่งเสริมการมองแบบภาพรวมโดยพิจารณาถึงการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน ซึ่งสามารถนำเอาไปใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ถ้าเป็นในเชิงธุรกิจคือ การแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยการใช้หลัก “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” หรือคิดในมุมมองของผู้บริโภคว่า ต้องการสินค้าและบริการชนิดใดที่สามารถแก้ไขปัญหาแลตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง ด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์

จุดเริ่มต้นของ Design Thinking มีมาตั้งแต่ช่วงปี 1950 – 1960 โดยมักจะใช้ในสายงานออกแบบนวัตกรรมอย่างสายงานวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และสถาปัตยกรรมเป็นหลัก จวบจนกระทั่งในปี 1991 แนวคิด Design Thinking ถูกรู้จักอย่างเป็นวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากบริษัท IDEO บริษัทออกแบบชื่อดังในสหรัฐอเมริกาได้นำเอาแนวคิด  Design Thinking มาพัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเม้าส์คอมพิวเตอร์ของ Apple หรือแปรงสีฟัน oral-B สำหรับเด็ก ทำให้ในวงการธุรกิจได้นำเอาแนวคิด Design Thinking มาใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นวงกว้าง และในปี 2004 David Kelly ผู้ก่อตั้งบริษัท IDEO ได้ก่อตั้ง Stanford University’s Hasso Plattner Institute of Design หรือรู้จักกันในชื่อ d.school และแน่นอนว่า เป็นสถาบันที่เปิดสอนเกี่ยวกับการพัฒนาแนวคิดเชิงออกแบบไปใช้ในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะในวงการออกแบบ วงการนวัตกรรมและวงการธุรกิจ ทำให้ Design Thinking เป็นที่รู้จักในระดับสากลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ตอนนี้เราก็รู้จักแนวคิด Design Thinking กันมากขึ้นแล้ว รวมถึงรู้ที่มาที่ไปของแนวคิดนี้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร ต่อไปเราจะมาเจาะลึกกันว่า Design Thinking 5 ขั้นตอน นั้นมีอะไรบ้าง และมีรายละเอียดอย่างไร ไปดูกันต่อค่ะ

เจาลึก ! Design Thinking 5 ขั้นตอน แนวคิดที่นำพาธุรกิจประสบความสำเร็จ !

design thinking process 5 ขั้นตอน, design thinking คืออะไร
Image Credit : freepik.com

Design Thinking  Process ประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่

  1. Empathize – เข้าใจปัญหา
  2. Define – นิยามปัญหาให้ชัดเจน 
  3. Ideate – ระดมสมอง 
  4. Prototype – การสร้างแบบจำลอง และ 
  5. Test – ทดสอบการใช้งาน

โดยแต่ละขั้นตอนจะมีกระบวนการทำงานอย่างไรนั้น ไปดูกันเลยค่ะ

1. Empathize – เข้าใจปัญหา

จุดเริ่มต้นของกระบวนการ Design Thinking คือ การมี Empathy ต่อลูกค้า ซึ่งหมายถึง การทำความเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง และคิดในมุมมองของลูกค้าว่าต้องการสิ่งใด หรืออยากให้ปัญหาอะไรได้รับการแก้ไข สามารถเก็บข้อมูลได้ผ่านการสนทนาซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึก หรือจากการทำแบบสอบถาม การทำแบบทดสอบ การลงพื้นที่สำรวจ หรือการสังเกตพฤติกรรมของลูกค้า เป็นต้น และจะทำให้ได้คำตอบว่า แท้จริงแล้วลูกค้าของเราคือคนกลุ่มใด มีปัญหาอะไร และต้องการสิ่งใดที่จะตอบโจทย์ – แก้ไขปัญหานั้นๆ ได้ ซึ่งตัวช่วยที่แนะนำในการทำ Empathize ก็คือ Empathy Map นั่นเองค่ะ

2. Define – นิยามปัญหาให้ชัดเจน

การนิยามปัญหาให้ชัดเจน เป็นการขยายความในประเด็นที่เกิดขึ้น และเป็นมุมมองเชิงลึก เป็นการวิเคราะห์ สรุป และนิยามปัญหานั้นๆ ออกมาให้เป็นรูปธรรม อาจจะใช้เทคนิค WH Quetions หรือการตั้งคำถามว่า Who – ใคร (ลูกค้าเราเป็นใคร) What -ทำอะไร (ปัญหาของลูกค้าคืออะไร/ลูกค้าต้องการอะไร) Where – ที่ไหน (หากสามารถระบุได้) และ How – อย่างไร (จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร)

3. Ideate – ระดมสมอง

ขั้นตอนการระดมสมองนี้ จะเป็นขั้นตอนที่สนุกที่สุด เปิดกว้างที่สุด และก่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ มากที่สุด เมื่อระบุปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว ต่อมาก็เป็นขั้นตอนของการสำรวจแนวทางแก้ไขปัญหานั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Mindmap การแปะโพสอิทไอเดียลงบนบอร์ดความคิดเห็นให้ได้มากที่สุด การขยายความ Keyword หรือใช้วิธีการ Brainstorm อื่นๆ ที่จะก่อให้เกิดการแสดงความคิดเห็นต่างๆ และในขั้นตอนระดมสมองนี้ ไม่ควรจำกัดถึงความเป็นไปได้ใดๆ ก็ตาม แต่ให้เน้นการคิดที่หลากหลายและคิดอย่างสร้างสรรค์มากที่สุด มีอิสระมากที่สุด ยิ่งเป็นการคิดนอกกรอบยิ่งดี เพราะอาจจะได้แง่มุมใหม่ๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง

4. Prototype – การสร้างแบบจำลอง

หลังจากนำเสนอไอเดีย และได้เลือกเฟ้นไอเดียที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ การสร้างแบบจำลอง หรือโมเดลของไอเดียนั้นๆ ก่อนที่จะนำไปใช้งานจริง เพื่อเป็นการทดลองว่าวิธีการนั้นๆ ใช้ได้ผลจริงๆ หรือไม่ และสามารถแก้ไขปัญหา – ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริงหรือยัง ซึ่งนอกจากจะเป็นการทดสอบใช้งานก่อนลงสนามจริงแล้ว ยังเป็นการตรวจสอบข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย ทั้งนี้ การสร้างแบบจำลองอาจไม่ต้องลงทุนให้มีความเสมือนจริง 100% เพราะจะทำให้มีการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำเป็น แต่ให้เน้นไปที่การรู้ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น และสามารถนำไปพัฒนาเป็นของจริงได้ในอนาคต

5. Test – ทดสอบการใช้งาน

เมื่อได้มีการจำลองโมเดลขึ้น และได้นำไปทดลองใช้ พร้อมทั้งปรับปรุงพัฒนาจุดผิดพลาดที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นโมเดลไฟนอลแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายของ  Design Thinking 5 ขั้นตอน ก็คือ การนำไอเดียหรือ Solution ที่ได้มาใช้งานจริงกับกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเรานั่นเอง เพื่อที่จะได้ทราบ Feedback หรือผลลัพธ์จากการใช้งานจริง และนำไปปรับปรุงพัฒนาต่อยอดเรื่อยๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

ทั้งนี้ แม้ว่ากระบวนการจะจบครบทั้ง 5 ขั้นตอนแล้วก็ตาม แต่ทั้ง 5 ขั้นตอนไม่ได้มีวิธีการเป็นแบบเส้นตรงที่ตายตัว หากในกระบวนการทดสอบการใช้งานแล้วพบเจอกับปัญหาใหม่ๆ หรือยังไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ก็อาจจะต้องกลับไปที่กระบวนการที่ 1 (ซึ่งจำเป็นมากๆ) 2 หรือ 3 โดยการนิยามปัญหาใหม่ และนำเสนอไอเดียใหม่ สร้างแบบจำลองใหม่ และนำกลับมาทดสอบใหม่อีกครั้ง

ดูเหมือนจะยุ่งยากหลายขั้นตอน และต้องปรับปรุงพัฒนาซ้ำๆ แต่ Design Thinking ก็เป็นแนวคิดที่นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลจริงอีกวิธีการหนึ่งในการสร้างนวัตกรรมหรือปรับปรุงพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด หากในทีมหรือในองค์กรมี Agile Mindset คือ การไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลว ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะต้องสำเร็จเข้าสักครั้งค่ะ

ตัวอย่างองค์กรที่ใช้ Design Thinking แล้วประสบความสำเร็จ

design thinking process 5 ขั้นตอน, design thinking คืออะไร
Image Credit : freepik.com

มาดูกันว่า องค์กรที่มีการใช้แนวคิด Design Thinking เพื่อปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ แล้วประสบความสำเร็จ มีองค์กรใดบ้าง ซึ่งเราจะขอยกตัวอย่างเป็นองค์กรระดับโลก 1 แห่ง และองค์กรในไทย 1 แห่ง ดังนี้ค่ะ

PepsiCo

บริษัท PepsiCo สามารถเพิ่มยอดขายได้มากถึง 80% ภายในเวลา 12 ปี ด้วยการใช้วิธีคิดแบบ Design Thinking โดยมีแนวคิดมาจาก Mauro Porcini ผู้ดำรงตำแหน่ง Chief Design Officer ของบริษัท ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า “ปัจจุบันผู้คนไม่ได้ซื้อสินค้าอีกต่อไป แต่ผู้บรโภคซื้อประสบการณ์ที่มีความหมายกับตัวเอง และส่วนใหญ่แล้ว ผู้บริโภคซื้อเรื่องราวที่มากับตัวสินค้าต่างหาก” นั่นเป็นที่มาของ Pepsi Spine ตู้กดน้ำหน้าตาเหมือนจอมือถือสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่ที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า โดยลูกค้าสามารถกดหน้าจอเลือกเครื่องดื่มได้หลากหลายชนิดหลากหลายรสชาติ และยังช่วยแนะนำเครื่องดื่มที่ลูกค้าน่าจะชอบจากประวัติการสั่งซื้อครั้งก่อนๆ ซึ่งเป็นการสร้างนวัตกรรมโดยมีความคิดพื้นฐานมาจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก

บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

ด้วยกระบวนการคิดแบบ  Design Thinking ซึ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้าและสามารถแก้ไขให้กับลูกค้าได้ จึงออกผลิตภัณฑ์ บัตร Krungthai Travel Card ที่มีคอนเสปต์คือ “บัตรเดียว จ่ายได้ทั่วโลก” บัตรกดเงินสดเพื่อการท่องเที่ยวในต่างประเทศใบแรกของประเทศไทย ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าที่จะเดินทางไปต่างประเทศแต่ไม่อยากพกเงินสดในจำนวนมากเพราะเสี่ยงต่อการถูกโขมย และถ้าหากใช้บัตรเครดิตจะไม่ทราบอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้น ซึ่งมักเป็นอัตราที่สูง ดังนั้น จึงออกผลิตภัณฑ์นี้โดยลูกค้าสามารถใช้บัตร Krungthai Travel Card แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้หลากหลายสกุลเงินในอัตราพิเศษ สามารถใช้รูดชำระค่าสินค้าและบริการ และใช้ถอนเงินสดได้ที่ตู้ ATM ทั่วโลก ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลุกค้าอย่างแท้จริง และมีลูกค้าติดต่อธนาคารเพื่อสมัครบัตร Krungthai Travel Card มากเป็นประวัติการณ์

หนังสือ Designing Your Work Life คู่มือออกแบบชีวิตที่ใช่-งานที่ชอบ ด้วย Design Thinking

เราจะประยุกต์แนวคิดนี้ ไปใช้จริงยังไงได้บ้าง ?

design thinking process 5 ขั้นตอน, design thinking คืออะไร
Image Credit : freepik.com

อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว คงมีหลายคนที่พอจะเข้าใจได้ และอีกหลายคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าจะนำไปใช้ยังไงดี ลองมาดูตัวอย่างกันสักหน่อยดีมั้ยคะ

・ธุรกิจร้านกาแฟ

  1. ขั้นเข้าใจปัญหา (Empathize) : การเข้าใจปัญหาเริ่มจากการสังเกต และรับฟังผู้ใช้งานหรือลูกค้าอย่างตั้งใจ เหมือนหมอที่ต้องฟังอาการคนไข้อย่างละเอียด ในกรณีร้านกาแฟ เราต้องคอยสังเกตว่าลูกค้ามาใช้บริการช่วงไหนบ้าง ชอบสั่งเครื่องดื่มประเภทใด มีปัญหาอะไรที่พบบ่อย เช่น การรอคิวนาน หรือที่นั่งไม่เพียงพอ เราต้องจดบันทึกทุกรายละเอียดเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อ
  2. ขั้นกำหนดปัญหา (Define) : หลังจากเก็บข้อมูลแล้ว เราต้องนำมาวิเคราะห์เพื่อระบุปัญหาที่แท้จริง เหมือนหมอที่ต้องสรุปอาการเพื่อหาสาเหตุของโรค เช่น จากข้อมูลร้านกาแฟพบว่าปัญหาหลักคือการรอคิวนานในช่วงเช้า และที่นั่งไม่พอในช่วงบ่าย เราจึงต้องกำหนดโจทย์ให้ชัดว่า “จะทำอย่างไรให้บริการลูกค้าได้เร็วขึ้นในช่วงเช้า” และ “จะจัดการพื้นที่อย่างไรให้รองรับลูกค้าได้มากขึ้น”
  3. ขั้นระดมความคิด (Ideate) : เมื่อรู้ปัญหาชัดเจนแล้ว ให้เปิดโอกาสให้ทุกคนในทีมแชร์ความคิดกันได้อย่างอิสระ ไม่มีการตัดสินว่าถูกผิด เหมือนการระดมสมองหาวิธีรักษาโรค อาจได้ทางแก้หลากหลาย เช่น เพิ่มพนักงานช่วงเช้า ทำระบบสั่งล่วงหน้า จัดโปรโมชั่นพิเศษช่วงสายเพื่อลดความแออัดช่วงเช้า หรือจัดโซนที่นั่งใหม่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
  4. ขั้นสร้างต้นแบบ (Prototype) : นำความคิดที่น่าสนใจมาทดลองทำจริง แต่เริ่มจากรูปแบบง่ายๆ ก่อน เหมือนการทำอาหารทดลองก่อนขายจริง เช่น ทดลองระบบจองคิวอย่างง่ายด้วยกระดาษ ลองจัดโต๊ะเก้าอี้ในรูปแบบใหม่ หรือทดลองทำเมนูพิเศษสำหรับช่วงบ่าย โดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดในการทดลอง
  5. ขั้นทดสอบ (Test) : นำต้นแบบไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย เหมือนการทดลองยาก่อนใช้จริง ให้ลูกค้าประจำทดลองใช้ระบบจองคิว สังเกตการใช้งานพื้นที่หลังจัดโซนใหม่ เก็บความคิดเห็นเรื่องเมนูพิเศษ นำผลตอบรับมาปรับปรุงแก้ไขจนได้วิธีที่เหมาะสมที่สุด

สิ่งสำคัญในการทำ Design Thinking คือต้องเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก่อน ไม่จำเป็นต้องแก้ทุกปัญหาพร้อมกัน รับฟังความคิดเห็นของทุกคน พร้อมยอมรับความผิดพลาดและปรับเปลี่ยน ทำซ้ำกระบวนการจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นเองค่ะ

การคิดจะเริ่มโปรเจคใหม่

ลองมาดูตัวอย่างเพิ่มเติมสำหรับการทำงานในองค์กรกันบ้างดีว่า โดยตัวอย่างการใช้ Design Thinking ในการคิดโปรเจคใหม่ โดยสมมติว่าเราต้องการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับการจัดการเวลาทำงาน

  1. ขั้นเข้าใจปัญหา (Empathize) : เริ่มจากการสำรวจพฤติกรรมการทำงานของพนักงานในองค์กร สัมภาษณ์พนักงานทุกระดับว่าพวกเขาจัดการเวลาอย่างไร มีปัญหาอะไรบ้าง เช่น พบว่าหลายคนทำงานไม่เสร็จตามเวลา บางคนทำงานล่วงเวลาบ่อย หรือบางคนจัดลำดับความสำคัญของงานไม่ถูก จดบันทึกทุกปัญหาและความต้องการที่ได้ยินมา
  2. ขั้นกำหนดปัญหา (Define) : วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา และสรุปประเด็นหลัก เช่น พนักงานส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการจัดลำดับความสำคัญของงาน ไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง และมักเสียเวลากับงานที่ไม่สำคัญ จึงกำหนดโจทย์ว่า “จะทำอย่างไรให้พนักงานจัดการเวลาและจัดลำดับความสำคัญของงานได้ดีขึ้น”
  3. ขั้นระดมความคิด (Ideate) : จัดประชุมทีมเพื่อระดมความคิดหาวิธีแก้ปัญหา ซึ่งอาจทำให้ได้ไอเดียมากมาย เช่น
  • สร้างแอพที่แจ้งเตือนเวลาทำงานแต่ละชิ้น
  • มีระบบให้คะแนนความสำคัญของงาน
  • แสดงความคืบหน้าของงานแบบ Visual Timeline
  • มีฟีเจอร์แนะนำว่าควรทำงานไหนก่อนหลัง
  • ระบบรายงานการใช้เวลาในแต่ละวัน

4. ขั้นสร้างต้นแบบ (Prototype) : เลือกไอเดียที่น่าสนใจมาทำต้นแบบ โดยอาจเริ่มจากการวาดหน้าจอแอพอย่างง่ายบนกระดาษ แสดงฟีเจอร์หลักๆ เช่น

  • หน้าแดชบอร์ดแสดงงานทั้งหมด
  • ระบบจัดลำดับความสำคัญแบบง่าย
  • ปฏิทินแสดงกำหนดส่งงาน
  • รายงานการใช้เวลารายวัน/สัปดาห์

5. ขั้นทดสอบ (Test) : นำต้นแบบไปให้พนักงานกลุ่มเล็กๆ ทดลองใช้ สมมติว่าเป็นแอพจริง จากนั้นก็เก็บข้อมูลว่า

    • ฟีเจอร์ไหนใช้งานง่าย/ยาก
    • อะไรที่ขาดหายไป
    • อะไรที่ไม่จำเป็น
    • พนักงานอยากได้อะไรเพิ่มเติม

    จากนั้นนำผลตอบรับมาปรับปรุงต่อ โดย

    • ปรับหน้าจอให้ใช้งานง่ายขึ้น
    • เพิ่มฟีเจอร์ที่จำเป็น
    • ตัดส่วนที่ไม่มีคนใช้ออก
    • พัฒนาเวอร์ชั่นใหม่และทดสอบซ้ำ

    เมื่อได้แบบที่พอใจแล้ว จึงเริ่มพัฒนาแอพจริง โดยอาจแบ่งการพัฒนาเป็นเฟส เช่น
    เฟส 1: ฟีเจอร์พื้นฐานที่จำเป็น
    เฟส 2: เพิ่มฟีเจอร์เสริมที่น่าสนใจ
    เฟส 3: พัฒนาฟีเจอร์ขั้นสูง

    และอย่าลืมว่า ระหว่างการพัฒนาก็ยังต้องรับฟังผู้ใช้งาน และปรับปรุงต่อเนื่อง จนได้แอพที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงมากที่สุดค่ะ

    การทำคอนเทนต์ใน Youtube

    อีกสักหนึ่งตัวอย่างนะคะ คราวนี้ลองมาดูการประยุกต์ใช้ Design Thinking ในการทำคอนเทนต์กันบ้าง ตัวอย่างนี้เราขอยกเป็น YouTube แล้วกันค่ะ

    1. ขั้นเข้าใจปัญหา (Empathize) : เริ่มจากการศึกษากลุ่มผู้ชมเป้าหมาย เก็บข้อมูลจาก
    • อ่านคอมเมนต์ในวิดีโอที่มีเนื้อหาคล้ายกัน
    • สำรวจว่าคนดู YouTube ในช่วงเวลาไหน ดูนานแค่ไหน
    • ศึกษาเทรนด์คอนเทนต์ที่กำลังได้รับความนิยม
    • วิเคราะห์ช่องคู่แข่งว่าทำอะไรได้ดี อะไรยังขาด
    • สำรวจความต้องการผู้ชมว่าอยากดูเนื้อหาแบบไหน

    2. ขั้นกำหนดปัญหา (Define) : วิเคราะห์ข้อมูลและกำหนดทิศทางช่อง เช่น “จะทำอย่างไรให้คอนเทนต์มีเอกลักษณ์และน่าติดตาม” | “จะสร้างคุณค่าอะไรให้กับผู้ชม” | “จะทำให้คนดูจนจบและกดติดตามได้อย่างไร” | “จะสร้างรายได้จากช่องทางไหนบ้าง”

    3. ขั้นระดมความคิด (Ideate) : คิดรูปแบบรายการ และวิธีการนำเสนอ

      • รูปแบบวิดีโอที่จะทำ (สอน รีวิว พาทำ Vlog)
      • ความยาวที่เหมาะสม (สั้น/ยาว)
      • วิธีการเล่าเรื่อง (สนุก จริงจัง ตลก ดราม่า)
      • การตั้งชื่อและทำธัมเนล
      • ช่วงเวลาที่จะปล่อยคอนเทนต์
      • อุปกรณ์และทีมงานที่ต้องใช้

      4. ขั้นสร้างต้นแบบ (Prototype) : ทำวิดีโอทดลอง

      • ถ่ายคลิปสั้นๆ ทดลองมุมกล้อง
      • ทดลองพูด/สคริปต์หลายๆ แบบ
      • ลองตัดต่อหลายสไตล์
      • ทำธัมเนลหลายๆ แบบ
      • ทดลองใส่เพลง/เอฟเฟค

      5. ขั้นทดสอบ (Test) : ทดสอบกับผู้ชมจริง

      • ปล่อยวิดีโอแรกดูผลตอบรับ
      • วิเคราะห์ยอดวิว/การดูจนจบ
      • อ่านคอมเมนต์และฟีดแบ็ค
      • ดูว่าช่วงไหนคนดูออก
      • สังเกตการแชร์และการกดไลค์

      จากนั้นลองสังเกต และปรับปรุงชิ้นงานอย่างต่อเนื่อง โดยอาจแบ่งเป็นแบบนี้ค่ะ
      เฟส 1: เน้นคุณภาพเนื้อหา

      • ปรับปรุงเสียง/ภาพให้ดีขึ้น
      • พัฒนาบทให้น่าสนใจ
      • ทำให้การตัดต่อกระชับ

      เฟส 2: สร้างแบรนด์

      • ออกแบบโลโก้/ธีมช่อง
      • สร้างเอกลักษณ์การนำเสนอ
      • เพิ่มความถี่ในการอัพโหลด

      เฟส 3: ขยายช่องทาง

      • ทำคอนเทนต์ข้ามแพลตฟอร์ม
      • สร้างชุมชนผู้ติดตาม
      • หารายได้จากช่องทางอื่น

      ข้อแนะนำเพิ่มเติม :

      1. เริ่มจากทำในสิ่งที่ถนัด
      2. ใช้อุปกรณ์ที่มีให้คุ้มค่าที่สุด
      3. ทำตารางการถ่ายทำ/อัพโหลดที่ชัดเจน
      4. มีแผนคอนเทนต์ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน
      5. เรียนรู้และปรับปรุงจากทุกวิดีโอ

      เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับ  Design Thinking 5 ขั้นตอน ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยใช่ไหม ? และไม่ใช่แค่วงการธุรกิจหรือวงการออกแบบเท่านั้นที่จะสามารถนำเอาแนวคิด  Design Thinking ไปใช้ได้ แม้ในชีวิตของเรา เราก็สามารถนำเอา  Design Thinking มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน และการดำเนินชีวิตได้เหมือนกัน เป็นการออกแบบชีวิตตัวเองโดยคำนึงถึงความต้องการของตัวเองเป็นหลัก และหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการคิดนอกกรอบ คิดค้นหลายๆ ไอเดียซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาวิธีคิดใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับวิธีการเดิมๆ และทดลองใช้วิธีการเหล่านั้น ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร ก็แค่นำกลับมาพัฒนาปรับปรุงและทดลองใหม่ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นเองค่ะ

      หนังสือ (ภาษาอังกฤษ) DESIGN THINKING AND INNOVATION METRICS

      Inspire Now ! : Design Thinking เป็นแนวคิดที่มีการผสมผสานทั้งวิธีการทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์เข้าด้วยกัน พูดง่ายๆ คือ ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ใช้ทั้งการทดลอง ทดสอบ และใช้ทั้งจินตนาการ และไม่ได้มีวิธีการตายตัว อย่างที่เน้นย้ำไว้ว่าแนวคิดนี้ คำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้ และวิธีแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์เป็นสำคัญ และไม่จำกัดไอเดียของตัวเอง สามารถนำเอาไปปรับใช้กับทั้งในเชิงธุรกิจ และในเชิงการใช้ชีวิตได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะต้องมีการทดลอง ปรับปรุงพัฒนาซ้ำๆ แต่ในที่สุดแล้ว ก็จะได้วิธีการที่ได้ผล

      DIYINSPIRENOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? ลองเอาวิธีการคิดแบบ  Design Thinking 5 ขั้นตอน ไปปรับใช้กับตัวเองดูนะคะ ได้ผลอย่างไรบ้าง อย่าลืมมาคอมเมนต์แชร์กับเรากันบ้างนะคะ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการพัฒนาตัวเองค่ะ ♡

      Facebook Comments

      หาข้อมูล-ลงมือเขียนและเรียบเรียงโดยทีมกองบรรณาธิการเว็บไซต์ DIY INSPIRE NOW