การเพิ่มความชุ่มชื้นให้ใบหน้า ก็เป็นอีกหนึ่งในขั้นตอนบำรุงที่สำคัญที่สุดของการดูแลผิวหน้า ยิ่งอายุเลย 30 แล้วยิ่งต้องใส่ใจ ทำไมการบำรุงให้ ผิวชุ่มชื้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อ stratum corneum ซึ่งเป็นชั้นผิวด้านนอก ได้รับการดูแลบำรุงจะช่วยปกป้องผิวจากการระคายเคืองหรือแม้กระทั่งการอักเสบต่างๆ และยังช่วยให้ชั้นผิวลึกเข้าไปได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ ใน stratum corneum นั้นประกอบด้วยส่วนประกอบต่างๆ จำพวกกรดไขมันและ ceramides ดังนั้นการเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยส่วนผสมเหล่านี้ ก็สามารถมั่นใจได้ว่าจะส่งเสริมให้ผิวมีสุขภาพดีและทำงานได้อย่างสมบูรณ์

แต่ผู้ที่มีผิวมันหรือเป็นสิวก็มักกลัวว่าการทาครีมบำรุงยิ่งจะทำให้ ปัญหาผิวแย่ลง ทำให้อุดตัน เป็นสิวมากขึ้น ความจริงแล้วครีมบำรุงมีความจำเป็นและมีประโยชน์ในทุกสภาพผิว แม้ในผิวมันเอง เพราะแท้ที่จริงแล้วน้ำมันที่ผลิตมาจากต่อมไขมันออกมาเคลือบอยู่บนผิว ไม่ได้ซึมลงเนื้อผิวให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นเลย ยิ่งถ้าไม่ได้รับการบำรุงก็ยิ่งจะทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันเยอะขึ้นเพราะตรวจรับได้ว่าผิวแห้งอยู่ ประกอบกับการพยายามล้างออกจนมากเกินไป ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรงทำให้ผิวยิ่งแห้งยิ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการผลิตน้ำมันมากขึ้นอีก
วิธีที่จะสั่งให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาน้อยลงคือทำให้ผิวชุ่มชื้นเข้าไว้ เพราะต่อมไขมันจะตรวจพบความชุ่มชื้นในผิวทำให้ลดการส่งไขมันออกมานั่นเอง ดังนั้นการล้างหน้าให้ถูกวิธี ใช้มอยเจอร์ไรส์เชอร์ที่เหมาะสม จึงช่วยให้ทั้งผิวแห้งได้ชุ่มชื้นขึ้น และช่วยให้ผิวมันหายมันด้วยนะคะ น่าทึ่งใช่ไหมหล่ะค่ะ แต่ช้าก่อน ไม่ต้องกังวลว่าจะเลือกผลิตได้ถูกต้องที่สุดไหม แค่เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมร่วมกับขั้นตอนอื่นที่ถูกวิธีและใช้อย่างถูกต้องต่างหากคือสิ่งสำคัญ และต่อไปนี้คือ วิธีง่ายๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผิว ตามมาดูกันค่ะ
ผิวชุ่มชื้น สุขภาพดี บำรุงได้แค่รู้เคล็ดลับการดูแลผิว
1. ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิว

ผลิตภัณฑ์ที่เพื่อนใช้ดี ไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะกับเรา + กุญแจสำคัญคือการรู้ว่าส่วนผสมใดจะจัดการกับปัญหาผิวของเราได้ดีที่สุด มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีควรมีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น (Humectant) ที่จะดึงน้ำเข้าสู่ผิวและส่วนผสมอื่นๆ เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว แต่ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาผิวด้วย บางครั้งอาจต้องมองหาสูตรเฉพาะหรือ อัตราส่วนของส่วนผสมที่ต้องการ
ตัวอย่างเช่น หากผิวแห้งมากอาจต้องการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เนื้อแน่นหนาขึ้นด้วยส่วนผสมที่จำเป็น เช่น กรดไฮยาลูโรนิกซึ่งเป็น Humectant ที่ทรงพลังพร้อมกับเซราไมด์ที่เป็นส่วนประกอบของ Stratum corneum อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนต้น เพื่อทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างแท้จริง ส่วนผิวมันที่ต้องการดูแลให้ผิวอุ้มน้ำเพื่อลดการผลิตไขมัน ต้องการครีมเนื้อบางเบาเพื่อไม่ให้เหนอะหนะ ซึบซาบลงผิวได้ดี มีส่วนประกอบของกลีเซอลีนและไฮยาลูโรนิกเพื่อประสิทธิภาพในการคงผิวชุ่มชื้นยาวนานขึ้น
[affegg id=2196]
2. ทามอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังล้างหน้า

เพื่อผลลัพธ์สูงสุดควรทาครีมบำรุงหลังจากทำความสะอาดผิวก่อนที่ผิวจะแห้งสนิท มอยเจอร์ไรเซอร์จะมีประสิทธิภาพสูงสุดหากใช้ในขณะที่ผิวยังชื้นเพราะผิวที่เปียกชื้นจะดูดซับผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และช่วยให้มอยเจอร์ไรเซอร์ล็อคความชุ่มชื้นนั้นไว้ แต่ถ้าด้วยนิสัยหรือกิจวัตรประจำวันที่ใช้เวลานานเกินไปจนผิวหน้าแห้งสนิทก่อนจะได้ทาครีมบำรุงก็สามารถแก้ปัญหาโดยฉีดน้ำแร่เป็นละอองฝอยพรมทั่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการลงครีมต่างๆต่อไป
3. อย่าใช้ออยล์ทดแทนการใช้มอยซ์เจอร์ไรส์เซอร์
ออยล์หรือน้ำมันบำรุงผิวมีข้อดีมากๆ ในการทำให้ผิวนุ่มและลดการระคายเคืองจากสาเหตุต่างๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้ทดแทนครีมบำรุงผิวมาตรฐานได้ ขณะที่ครีมบำรุงมีความสามารถในการดึงน้ำให้ซึบซาบในเซลล์ผิว ออยล์จะเคลือบอยู่ด้านบนผิวและกักความชุ่มชื้นไว้ ดังนั้นถ้าผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นอย่างมาก การทาออยล์ทับลงไปนอกเหนือจากการทามอยเจอร์ไรส์เซอร์ปกติจะยิ่งช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นได้ดีและยาวนานขึ้น อย่างไรก็ตามผู้ที่มีผิวมันหรือเป็นสิวง่ายควรระวังเพราะอุดตันรูขุมขนได้
[affegg id=2197]
4. ทาผลิตภัณฑ์ให้ถูกลำดับขั้นตอน แต่อย่ากังวลจนมากไป

ลำดับที่ใช้ผลิตภัณฑ์อาจมีผลต่อการทำงานของผลิตภัณฑ์ว่าส่งประสิทธิภาพได้ดีเพียงใด โดยทั่วไปแล้ว ให้เริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความบางเบาไล่ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่หนาแน่นที่สุด แนวคิดก็คือ การฝังผลิตภัณฑ์ตามลำดับนี้เพราะสิ่งที่หนากว่าจะได้ไม่ขวางสิ่งที่บางเบากว่าไม่ให้ซึมลงไปผิวนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สามารถปรับได้ตามเหมาะสม และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนังเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ตามใบสั่งแพทย์ใดๆ และไม่ต้องกังวลเลยถ้าจะไม่ถูกขั้นตอนไปบ้าง เพราะในที่สุดทุกอย่างก็จะกลายเป็นค็อกเทลบนใบหน้า ดังนั้นตราบใดที่ทาครีมครบผิวก็รู้สึกดีแล้วหล่ะ
5. กลางวันและกลางคืนผิวต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน

เวลากลางคืนคือเวลาที่ผิวอยู่ในสถานะสูงสุดของทั้งการซ่อมแซมและซ่อมสร้าง โดยส่วนใหญ่การหมุนเวียนของเซลล์และการฟื้นฟูเกิดขึ้นเมื่อร่างกายอยู่ในการนอนหลับ Rapid Eye Movement คือช่วงเวลาหลับฝัน ผลิตภัณฑ์และส่วนผสมบางอย่างในครีมบำรุงสามารถช่วยในกระบวนการนั้นได้จริง ไนท์ครีมที่ทำมาสำหรับการบำรุงล้ำลึกในตอนกลางคืนมักจะเต็มไปด้วยส่วนผสมที่สามารถช่วยบรรเทาและซ่อมแซมผิว เช่น เปปไทด์และเรติน
โดยทั่วไปแล้วเนื้อครีมจะหนาหนักเหมาะกับการใช้ตอนกลางคืนเพื่อคืนความชุ่มชื้นของผิวที่ลดลง ส่วนเดย์ครีมนั้นถ้าจำเป็นก็สามารถใช้ในเวลากลางคืนได้ แม้จะเป็นชนิดที่ผสมครีมกันแดดก็ตาม เพราะไม่ทำอันตรายใดๆ กับผิวและแน่นอนมันดีกว่าที่จะไม่ทาอะไรเลยใช่ไหมคะ
[affegg id=2198]
6.บำรุงผิวอย่างล้ำลึกด้วยการมาร์กหน้าอย่างน้อยเดือนละครั้ง

ทางเลือกที่ดีที่สุด คือการเข้าร้านไปทำทรีทเม้นท์ผิวบ้างอย่างน้อยสักเดือนละครั้ง เพราะไม่ใช่แค่การทาครีมเท่านั้นที่จะทำผิวให้ผิวทำงานได้เต็มศักยภาพ การได้เปิดผิว ทำความสะอาดถึงรูขุมขน นวดกระตุ้นให้การหมุนเวียบโลหิตและการขับของเสียทำงานได้เต็มที่ จบด้วยการพอกหน้าหรือผลักวิตามินเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นลึก
แต่ถ้าหากไม่มีเวลาจริงๆ ฝึกทำเองที่บ้าน ล้างหน้าให้ถูกวิธี ตามด้วยการผ่อนคลายผิวด้วยการค่อยๆ ลงบำรุงผิว นวดด้วยปลายนิ้ว สามารถมาร์กหน้าเองด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับมาร์กหน้าหรือไนท์ครีมเข้มข้น เพียงเท่านี้ ผิวก็ชุ่มชื้นขึ้น สวยผิดหูผิดตาแน่นอนค่ะ
Inspire Now ! : การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมกับผิวอย่างต่อเนื่องเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผิวชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี แต่ขั้นตอนอื่นๆ ของการดูแลผิวก็สามารถช่วยได้เช่นกัน! ลองเซรั่มที่มีส่วนผสมของ กลีเซอรีน กรดไฮยาลูโรนิก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอีกขั้นตอนหนึ่ง หรือสเปรย์น้ำแร่ใบหน้าระหว่างวันช่วยให้รู้สึกชุ่มชื้นและสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เลือกคลีนเซอร์และโทนเนอร์ที่ให้ความชุ่มชื่นเพื่อช่วยเริ่มต้นวันอย่างสดใส นอกจากผิวชุ่มชื้นขึ้นแล้ว ยังได้พลังบวกดีๆ จากความรู้สึกดีกับตัวเองด้วยนะคะ |
DIY Inspire Now ทำให้ฉันสวยสมวัยหรือเปล่า ? ติดตามทิปส์การดูแลผิวดีๆ และส่งความเห็นหรือหัวข้อที่สนใจมาแชร์กันได้นะคะ ♡
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : self.com