ในยุคนี้ สมัยนี้ ใครๆ ก็พูดถึงกันแต่ Startup อยากจะเป็น Startup อยากเป็น CEO อยากเป็นนายตัวเอง อยากสร้างนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ และแก้ปัญหาที่คนส่วนใหญ่พบเจอ แต่การเป็น Startup จริงๆ แล้วนั้น คืออะไร Startup มีอะไรบ้าง ในบทความนี้ DIYINSPIRENOW จะพาผู้อ่านเข้าสู่โลกของ Startup กันค่ะ
ชวนรู้จัก Startup มีอะไรบ้าง ? อยากเป็น Startup ต้องพัฒนาตัวเองแบบไหน ?!
Startup หมายถึงองค์กรธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ โดยเป็นธุรกิจที่เน้นนวัตกรรม โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ที่แตกต่างจากที่มีอยู่ในท้องตลาดมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายในการขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น มีโครงสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่ายตามสถานการณ์ นอกจากนั้น Startup จะมีการดำเนินงานโดยใช้เทคโนโลยีเป็นรากฐาน เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น และในการเริ่มต้นมักจะได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุน การเป็น Startup จึงมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสในการเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน หากประสบความสำเร็จ Startup เหล่านี้อาจกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคตได้
รู้จักต้นกำเนิดของ Startup กันก่อน !
ต้นกำเนิดของ Startup นั้นเกิดขึ้นใน “ซิลิคอนวัลเลย์” แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซิลิคอนวัลเลย์ที่เป็นดินแดนแห่งการเกิดขึ้นของ Startup นั้นมีดังนี้
- มหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น สแตนฟอร์ด และแคลิฟอร์เนียเบิร์กเลย์ เป็นแหล่งบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยที่มีความคิดสร้างสรรค์
- ฐานทหารและการวิจัยของกระทรวงกลาโหมสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
- การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เช่น บริษัท Fairchild Semiconductor และ Intel
- บรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนเสี่ยงและผู้ประกอบการ มีการจัดตั้งกองทุนเงินร่วมลงทุนแห่งแรก ๆ
- การเติบโตของอินเทอร์เน็ตและอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ในช่วงทศวรรษ 1990
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Google, Facebook ฯลฯ ก็ล้วนแต่เติบโตมาจากซิลิคอนวัลเลย์นี้ด้วย รวมถึง Startup รุ่นใหม่มากมายที่ได้รับการสนับสนุนจากเม็ดเงินลงทุนและบรรยากาศการประกอบการที่เอื้อต่อความเสี่ยง ดังนั้น ซิลิคอนวัลเลย์จึงได้ชื่อว่าเป็น “ดินแดนแห่งโอกาสและนวัตกรรม” และเป็นต้นกำเนิดของ Startup โลกยุคใหม่ นั่นเองค่ะ
นายอินทร์ หนังสือ TALKING TO STRANGERS ศิลปะแห่งการอ่านคน
ประเภทของ Startup มีอะไรบ้าง ?
ประเภทของ Startup สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนก ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. แบ่งตามประเภทของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งประเภทของ Startup ที่น่าสนใจ มีดังนี้
- Startup ด้านเทคโนโลยี
- ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชัน เช่น Slack, Dropbox
- เว็บไซต์ และแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Airbnb, Uber
- อุปกรณ์ และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น Fitbit, GoPro
- Startup ด้านอีคอมเมิร์ซ และค้าปลีกออนไลน์
- ร้านค้าออนไลน์ เช่น Wayfair, Stitch Fix
- บริการจัดส่งสินค้า เช่น Instacart, Postmates
- Startup ด้านการเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech)
- บริการชำระเงินออนไลน์ เช่น Stripe, Square
- บริการสินเชื่อและเงินกู้ เช่น SoFi, Lending Club
- Startup ด้านสุขภาพ (Healthtech/Wellness)
- แอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ เช่น Calm, MyFitnessPal
- บริการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ เช่น Teladoc
- Startup ด้านการศึกษาและการเรียนรู้ (Edtech)
- แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ เช่น Coursera, Udemy
- บริการสอนพิเศษออนไลน์ เช่น Chegg, Course Hero
- Startup ด้านอาหารและภัตตาคาร
- บริการส่งอาหาร เช่น DoorDash, GrubHub
- แอปพลิเคชันจองร้านอาหาร เช่น OpenTable
นี่คือตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นนะคะ ยังมี Startup อีกมากมายในหลากหลายอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งจำนวน Startup ทั่วโลกนั้นมีเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีตัวเลขที่แน่ชัด เนื่องจากมีการเกิดใหม่และปิดตัวลงอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม มีการประมาณการดังนี้ค่ะ
- ตามรายงานของ Startup Genome ระบุว่า ในปี 2023 มีบริษัท Startup ถึง 3.5 ล้านแห่งจาก 50 ประเทศทั่วโลก
- สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มี Startup มากที่สุด โดยเฉพาะในแหล่งรวม Startup อย่าง ซิลิคอนวัลเลย์ นิวยอร์ก และบอสตัน
- ประเทศอื่นๆ ที่มี Startup จำนวนมาก ได้แก่ จีน อินเดีย อังกฤษ เยอรมนี คานาดา ฝรั่งเศส สิงคโปร์ และอิสราเอล
- มีการคาดการณ์ว่า ทุกปีมีการก่อตั้ง Startup ใหม่มากกว่า 300,000 แห่งทั่วโลก
จากตัวเลขเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า Startup กำลังแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรมในหลายประเทศ แม้ว่าจะมีจำนวนมากแต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
2. แบ่งตามระดับการเติบโต
การแบ่งระดับการเติบโตของ Startup นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ แต่ละระยะเป็นยังไง เราลองมาดูรายละเอียดกันค่ะ
- Startup ระยะเริ่มต้น (Early Stage) : เป็นระยะเริ่มต้นธุรกิจ มีผลิตภัณฑ์หรือบริการออกสู่ตลาดแล้ว แต่ยังไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อยมาก ต้องใช้เงินทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการตลาด มักได้รับเงินทุนจากเงินส่วนตัว ครอบครัว เพื่อน หรือนักลงทุนรายย่อย (Angel Investors)
- Startup ระยะต้น (Seed Stage) : มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่พร้อมวางจำหน่ายแล้ว และเริ่มมีฐานลูกค้าและรายได้เกิดขึ้น มุ่งเน้นการหารายได้ สร้างฐานผู้ใช้ และการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งในระยะนี้มีความต้องการเงินทุนเพื่อขยายการดำเนินงาน และ มักได้รับเงินทุนจากนักลงทุนเงินร่วมทุน (Venture Capitalists) รอบแรก
- Startup ระยะเติบโต (Growth Stage) : มีรายได้และฐานลูกค้าที่มั่นคง แต่ต้องการเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจเพิ่มเติม มุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์/บริการ และการเติบโตอย่างรวดเร็ว มักได้รับเงินทุนจากนักลงทุนเงินร่วมทุนรอบต่อๆ มา
- Startup ระยะก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ (Pre-IPO Stage) : มีฐานธุรกิจที่มั่นคง มีผลกำไรที่สูงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) อาจได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจากนักลงทุนสถาบันก่อน IPO เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ซึ่งในแต่ละระยะจะมีความท้าทายและความต้องการเงินทุนที่แตกต่างกัน การระบุระยะจึงมีประโยชน์ต่อการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจและแหล่งระดมทุนที่เหมาะสมของ Startup นั่นเองค่ะ
3. แบ่งตามแหล่งที่มาของรายได้
การแบ่งประเภท Startup ตามแหล่งที่มาของรายได้ก็เป็นมุมมองที่น่าสนใจเหมือนกันค่ะ เนื่องจากรูปแบบธุรกิจ และแหล่งรายได้หลักจะเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์ของ Startup แต่ละแบบว่าจะต้องวางแผนและดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตต่อไปได้ ลองมาดูรายละเอียดแต่ละประเภทกันนะคะ
- Startup ที่พึ่งพารายได้จากการขายสินค้า/บริการ : เป็น Startup ที่มีรูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิม คือ ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการให้แก่ลูกค้า ตัวอย่างเช่น Startup ด้านอีคอมเมิร์ซ, ซอฟต์แวร์, ฟินเทค, อุปกรณ์เทคโนโลยี เป็นต้น รายได้หลักมาจากการขายสินค้า/บริการโดยตรงกับลูกค้า จำเป็นต้องมีกลยุทธ์การตลาด การขาย และบริการลูกค้าที่ดีเพื่อสร้างยอดขาย
- Startup ที่พึ่งพารายได้จากโฆษณา : เป็น Startup ด้านดิจิทัลที่มีแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ให้บริการฟรี ตัวอย่างเช่น Google, Facebook, YouTube, เว็บข่าวออนไลน์ รายได้หลักมาจากการโฆษณาผ่านช่องทางดิจิทัลของตนเอง โดยมุ่งเน้นการสร้างฐานผู้ใช้งานให้มากที่สุดเพื่อดึงดูดเม็ดเงินโฆษณา
- Startup ที่พึ่งพาการระดมทุน : มักเป็น Startup ที่มีไอเดียหรือแนวคิดใหม่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ตัวอย่างเช่น Startup ด้านเทคโนโลยีแพทย์, พลังงานสะอาด, เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ไม่สามารถสร้างรายได้ได้ในระยะเริ่มแรก จึงต้องพึ่งพาการระดมเงินทุนจากนักลงทุนภายนอก มีเป้าหมายคือการเติบโตเพื่อเข้าสู่ตลาดมหาชนในอนาคต
บี มีเดีย (BeeMedia) Miracle Morning ทุกสิ่งในชีวิตจะดีขึ้น เมื่อตื่นเช้า ใหม่ หนังสือพัฒนาตนเอง
4. แบ่งตามรูปแบบการดำเนินธุรกิจ
การแบ่งประเภท Startup ตามรูปแบบการดำเนินธุรกิจเป็นสองประเภทหลักนี้ ช่วยให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ดังนี้
- Startup ที่ดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิม : เป็น Startup ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ ตามหลักการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมที่มีการผลิตสินค้า ให้บริการ มีสำนักงาน พนักงาน การขายผ่านหน้าร้านหรือตัวแทน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีก บริการซ่อมแซม ฯลฯ ซึ่งอาจใช้ช่องทางออนไลน์เป็นส่วนเสริม แต่ยังคงพึ่งพาช่องทางดั้งเดิมเป็นหลัก ข้อได้เปรียบคือ เป็นรูปแบบธุรกิจที่คุ้นเคย แต่อาจไม่คล่องตัวเท่าการทำธุรกิจออนไลน์
- Startup แบบ E-Business ที่ดำเนินธุรกิจออนไลน์ : เป็น Startup ที่ดำเนินธุรกิจบนโลกออนไลน์เป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานหรือหน้าร้านตามแบบดั้งเดิม ตัวอย่างเช่น อีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มออนไลน์ บริการดิจิทัล สตรีมมิ่งคอนเทนต์ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์/บริการ การตลาด การขาย มีความคล่องตัว ประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถเติบโตและขยายสู่ตลาดโลกได้ง่าย แต่อาจมีความท้าทายด้านการแข่งขัน และการสร้างความน่าเชื่อถือ
ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน Startup จึงต้องเลือกรูปแบบให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ เพื่อให้สามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้ การแบ่งประเภท Startup ช่วยให้เข้าใจลักษณะ โมเดลธุรกิจ และความท้าทายที่แตกต่างกันได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
Unicorn Startup คืออะไร ?
Unicorn Startup คือ Startup ที่ประสบความสำเร็จ และมีมูลค่ากิจการ (valuation) มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป
คำว่า “Unicorn” มาจากความหายากและยากที่จะประสบความสำเร็จในระดับนี้ เนื่องจากมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่สามารถบรรลุถึงระดับมูลค่ากิจการ 1 พันล้านดอลลาร์ได้ในช่วงเวลาอันสั้น
Unicorn Startup มักเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มีอัตราการเติบโตสูง และได้รับเงินทุนจำนวนมากจากนักลงทุนเงินร่วมลงทุน สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างของ Unicorn Startup ที่โด่งดัง เช่น Uber, Airbnb, SpaceX, Stripe เป็นต้น
การเป็น Unicorn ถือเป็นความสำเร็จในระดับสูงของ startup เนื่องจากสามารถสร้างมูลค่าได้อย่างมหาศาล แต่ก็มีความท้าทายและความเสี่ยงสูงมาก ทั้งในด้านการดำเนินงาน การแข่งขัน และการระดมทุน ซึ่งสำหรับในประเทศไทยนั้นมี Unicorn Startup คือ Flash Express, Ascend Money และ Bitkub นั่นเองค่ะ
Mindset แบบไหน ที่ Startup ควรมี ?
เรารู้กันแล้วว่า Startup มีอะไรบ้าง การแบ่งประเภท และรายละเอียดของแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน ก็จำเป็นต้องพัฒนาตัวเองในเป้าหมายที่ตัวเองโฟกัสไม่ต่างกัน ดังนั้น เราก็เลยอยากจะแนะนำ Mindset หรือทัศนคติที่สำคัญที่ Startup ควรมี จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันต่อค่ะ
- Growth Mindset : มีจิตใจที่มุ่งมั่นในการเรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ ยอมรับข้อผิดพลาด และมองว่าเป็นโอกาสในการปรับปรุง
- Risk-Taking : กล้าเสี่ยง ไม่หวาดหวั่นกับความล้มเหลว เนื่องจากการประกอบธุรกิจ Startup มีความเสี่ยงสูง
- Resiliency : มีความยืดหยุ่น ฟื้นตัวจากปัญหาและอุปสรรคได้อย่างรวดเร็ว ไม่ย่อท้อต่อความท้าทายต่างๆ
- Customer-Centric : ให้ความสำคัญกับความต้องการและปัญหาของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งแต่จะขายสินค้าและบริการของตนเอง
- Innovation : มีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมอยู่เสมอ ไม่หยุดนิ่งกับรูปแบบเก่าๆ พร้อมที่จะปรับตัวตลอดเวลา
- Data-Driven : ใช้ข้อมูลและสถิติเป็นหลักในการตัดสินใจทางธุรกิจ แทนที่จะใช้ความรู้สึกหรือการคาดเดาเท่านั้น
- Perseverance : มีความอดทนและพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้บรรลุเป้าหมายธุรกิจ แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก
- Passion : มีแรงบันดาลใจและความรักในสิ่งที่ทำ เนื่องจากความทุ่มเทและมุ่งมั่นเป็นสิ่งสำคัญในการสร้าง Startup ให้ประสบความสำเร็จ
Mindsets เหล่านี้จะช่วยผลักดันให้Startup มีทัศนคติที่ถูกต้อง สามารถเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างเข้มแข็ง และนำพา Startup ไปสู่ความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้นค่ะ
Startup ที่ประสบความสำเร็จอยู่ที่ประเทศไหนกันบ้าง ?
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนคงอยากที่จะเห็นตัวอย่าง Startup ที่ประสบความสำเร็จในโลกของเรากันแล้วใช่มั้ยคะ ว่าแต่จะมาจากประเทศไหนกันบ้าง มาดูกันค่ะ
มีหลาย Startup ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในโลก ซึ่งกระจายอยู่ในหลายประเทศ อาทิ
- สหรัฐอเมริกา ได้แก่ Apple (ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี), Amazon (อีคอมเมิร์ซ, คลาวด์คอมพิวติง), Google (เสิร์ชเอนจิน, โฆษณาออนไลน์), Facebook (โซเชียลมีเดีย), Netflix (สตรีมมิ่งวิดีโอ), Uber (บริการเรียกรถแบบแชร์), Airbnb (ที่พักแบบแชร์)
- จีน ได้แก่ Alibaba (อีคอมเมิร์ซ), Tencent (เกม, โซเชียลมีเดีย), Xiaomi (สมาร์ทโฟน), Didi Chuxing (บริการเรียกรถแบบแชร์)
- อินเดีย ได้แก่ Flipkart (อีคอมเมิร์ซ), Paytm (แอปพลิเคชันชำระเงิน), Zomato (สั่งอาหารออนไลน์)
- อังกฤษ ได้แก่ Revolut (แอปการเงินดิจิทัล), Transferwise (แพลตฟอร์มโอนเงินระหว่างประเทศ)
- สวีเดน ได้แก่ Spotify (สตรีมมิ่งเพลง)
- อินโดนีเซีย ได้แก่ Gojek (แอปสั่งพาหนะ สั่งอาหาร จ่ายบิล)
- เกาหลีใต้ ได้แก่ Coupang (อีคอมเมิร์ซ)
หลาย ๆ Startup เหล่านี้ เริ่มต้นจากไอเดียธุรกิจที่สร้างสรรค์ พัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ทีนี้เราลองมาดูในบ้านเรา ประเทศไหนกันบ้างว่า Startup มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ และเป็นที่รู้จักค่ะ
ในประเทศไทยก็มี Startup หลายแห่งที่ประสบความสำเร็จ แม้จะไม่ใหญ่โตเท่ากับบริษัทระดับโลก แต่ก็ถือเป็นตัวอย่าง Startup ไทยที่น่าสนใจ เช่น
- Ookbee (จำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์)
- Wongnai (แอปแนะนำร้านอาหารและกิจกรรมท่องเที่ยว)
- Robinhood (แอปสั่งอาหารและเครื่องดื่ม)
- ShipSmile (บริการขนส่งพัสดุระหว่างประเทศ)
- Pomelo (แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์)
- Zippay (บริการชำระเงินและสินเชื่อ)
- Tarad (แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้ามือสอง)
- Rabbit LINE Pay (แอปชำระเงินออนไลน์)
- aCommerce (บริการจัดการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์)
- Jitta (แพลตฟอร์มเรียนและสอนภาษาออนไลน์)
หลายแห่งได้รับการร่วมลงทุนจากนักลงทุนร่วมทุน และมีเป้าหมายในการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของ Startup ไทย แต่ตลาดของ Startup ในประเทศไทยยังค่อนข้างเล็กและเพิ่งจะเริ่มต้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ จึงยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากเลยทีเดียวค่ะ
คำแนะสำหรับคนที่อยากทำ Startup มีอะไรบ้าง ?
สำหรับคนที่อยากทำ Startup นั้น นอกจาก mindset ที่เราแนะนำไปแล้ว ก็ยังมีคำแนะนำบางอย่าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังอยากเริ่มต้นทำ ดังต่อไปนี้ค่ะ
- หาไอเดียธุรกิจที่แปลกใหม่และตอบโจทย์ปัญหา เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
- ศึกษาและทำความเข้าใจตลาดเป้าหมายอย่างละเอียด เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
- จัดทำแผนธุรกิจที่ชัดเจน กำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ และวิธีการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
- รวบรวมทีมงานที่มีความรู้ความสามารถและแรงบันดาลใจที่สอดคล้องกัน เพื่อให้ Startup เติบโตไปด้วยกัน
- หาแหล่งเงินทุน เช่น การระดมทุนจากนักลงทุน กองทุนเงินร่วมลงทุน หรือแหล่งเงินทุนอื่นๆ
- สร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) เพื่อทดสอบและปรับปรุงก่อนวางจำหน่ายจริง (ลองศึกษาเรื่อง Design Thinking ก็เป็นประโยชน์มากนะคะ)
- สร้างแบรนด์และการตลาดที่โดดเด่น เพื่อดึงดูดลูกค้าและครองส่วนแบ่งการตลาด
- มีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
- ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้เต็มที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และการดำเนินงาน
- มีความอดทน อุตสาหะ และมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ เพราะการสร้าง Startup ให้เติบโตนั้นเป็นเรื่องท้าทายและต้องใช้เวลา
คู่มือค้นหา “ทำไม” ที่แท้จริงของคุณ ( Find Your Why) วีเลิร์น สำนักพิมพ์วีเลิร์น welearnbook welearn
Inspire Now ! : การเป็น Startup นั้นถือว่าท้าทายมากเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากจะต้องคิด จัดการ และลงมือทำอยู่ตลอดเวลาแล้ว การดีลกับผู้คน และมีทักษะการสื่อสารที่ดี รวมทั้งการนำคำแนะนำเหล่านี้ไปปรับใช้ก็เป็นวิธีที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในความสำเร็จของการทำ Startup ให้มากยิ่งขึ้นได้ค่ะ |
---|
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า ? Startup คือการเริ่มต้นที่ท้าทาย และใช้เวลา รวมถึงความอดทนในการประสบความสำเร็จ คิดเห็นยังไง มาคอมเมนต์พูดคุยกันนะคะ ♡
Featured Image Credit : freepik.com/rawpixel.com