Interview : การเติบโต ของแต่ละคนขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาจริงมั้ย ? ชวน บูม สุภาพร นางเอก-พิธีกร มาคุยเรื่อง Time to Bloom กัน !

Guest : คุณบูม สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง (พิธีกร – นักแสดง)

ขอต้อนรับผู้อ่านทุกท่าน เข้าสู่กลางปี 2023 กลางปีแบบนี้ ทำตามเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปีกันไปถึงไหนแล้วบ้างคะ บางคนอาจกำลังมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ และบางคนอาจจะกำลังเศร้าเพราะยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ หากใครกำลังรู้สึกเศร้า หมดไฟในการทำงาน หรือว่ารู้สึกเซงอยู่ เราอยากชวนมารู้จักกับเรื่อง จังหวะเวลา การเติบโต ของชีวิต ก็เลยชวนคุณบูม สุภาพร นางเอก และพิธีกรมากความสามารถ มาคุยเรื่อง “Time to Bloom จังหวะการเบ่งบานของตัวเอง” ลองมาดูกันค่ะว่า ประสบการณ์ชีวิตของคุณบูมจะให้มุมมอง ให้แง่คิด หรือแรงบันดาลอะไรให้กับผู้อ่านในช่วงกลางปีแบบนี้กันบ้าง มารับแรงบันดาลใจดีๆ ผ่านการสัมภาษณ์ไปกับ DIYINSPIRENOW กันค่ะ

การเติบโต, เบ่งบาน

1. ช่วยแนะนำตัวเองแบบสั้นๆ ให้เรารู้จักกับบูมหน่อยค่ะ

“สวัสดีค่ะ บูม สุภาพร วงษ์ถ้วยทองค่ะ ตอนนี้หลักๆ เป็นพิธีกรรายการต่างๆ เช่น ผู้หญิงยกกำลังแจ๋ว เผือกร้อนตอนบ่าย คุยแซ่บโชว์ แล้วก็มีละคร กำลังจะรอออกอากาศอยู่ น่าจะได้ดูกันในปีนี้ หลังจากนี้อีกไตรมาสนึง”

2. สนใจอาชีพในวงการบันเทิง (นักแสดง/ พิธีกร ฯลฯ)​ มาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า ?

คุณบูมบอกกับเราว่า ไม่ได้สนใจเลย ไม่เคยจินตนาการ และก็ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้ ในทุกๆ วันนี้ “ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเป็นดารา มาเป็นพิธีกร ไม่เคยคิดเลยค่ะ”

การเติบโต, เบ่งบาน

3. บูมในช่วงวัยเด็ก (10 ปี แรก) เป็นยังไง ? โตมาในครอบครัวแบบไหน เป็นเด็กแบบไหน ความฝันต่างๆ ในวัยเด็กของบูมเป็นยังไง ?

“ช่วงวัยเด็กของบูม บูมว่า เป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบนะ เป็นคนที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่ เป็นเด็กแบบมีความสุข” คุณบูมบอกกับเราว่า เหมือนเด็กทั่วไป ที่มีความสุข ไม่ได้มีเรื่องเครียดอะไร ทุกๆ วันก็กิน เล่น นอน ทำกิจกรรมที่อยากทำ ส่วนในครอบครัว คุณแม่จะดุกว่าคุณพ่อ “เด็กสมัยนี้อาจจะไม่ถูกตี แต่บูมโตมากับไม้เรียว ก้านมะยม ไม้แขวนเสื้อ เข็มขัด เราก็เลยจะมีความเกรงกลัว” คุณบูมเล่าต่อว่า ที่บ้านจะเลี้ยงแบบไข่ในหิน ตัวห้ามเป็นแผล ยุงห้ามกัด จะถูกประคบประหงม มีพี่เลี้ยงประกบตลอด 24 ชั่วโมง คนละคนกับพี่ชาย ตามเฝ้า ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ตั้งแต่เช้าจนถึงเข้านอน ได้รู้จักบูมในพาร์ทครอบครัวกันไปแล้ว เราเลยถามต่อเรื่องความฝันในวัยเด็ก คุณบูมคิดแป็บนึง แล้วตอบเราว่า “จริงๆ บูมก็จำไม่ค่อยได้ แต่อย่างนึงที่จำได้คือ ฝันอยากเป็นนักธุรกิจ เราเห็นว่าที่บ้านเราทำแบบนี้ เราก็เลยอยากทำแบบนี้ อีกหนึ่งความฝันก็คืออยากเป็นแคชเชียร์ แบบบูมว่าเด็กทุกคนก็ชอบ อยากเล่น คิดตังค์ เก็บตังค์ จะสนุกกับการเอาลิ้นชักตัวเองที่เป็นช่องๆ มาใส่ตังค์เอาไว้ แล้วก็อยากเป็นคุณครู เพราะว่าอยากเซ็นต์ แล้วก็ติดดาว แต่ถามว่าทุกวันนี้มีลายเซ็นต์มั้ย ไม่มี”

การเติบโต, เบ่งบาน

พอฟังคุณบูมเล่าแล้ว ก็คิดถึงตัวเองตอนเด็กเหมือนกันนะคะ แล้วผู้อ่านล่ะคะ เคยมีความฝันวัยเด็กเป็นแคชเชียร์ หรือว่าคุณครูกันบ้างหรือเปล่า ?

4. แล้วช่วงวัยรุ่น เป็นยังไงบ้าง ?  การศึกษา ประสบการณ์ วิธีคิดในช่วงวัยนั้น หรือมี point ไหนมั้ยที่จุดประการให้เราเป็นเราในตอนนี้ ?

“วัยรุ่นของบูม คือช่วงที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นค่ะ ในช่วงวัยรุ่น เหมือนช่วงที่เราเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง ครอบครัวที่บูมบอกว่า เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเลย ไม่ต้องคิดอะไรเลย สมบูรณ์แบบทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ได้ คุณพ่อคุณแม่อยู่แบบพร้อมหน้าพร้อมตา พอเรามีการเติบโตขึ้นมาเนี่ย มันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว”

การเติบโต, เบ่งบาน

คุณบูมเล่าต่อว่า เหมือนรอยยิ้มเริ่มลดลง เพราะคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกัน เริ่มแยกทางกัน เริ่มต้องการใครสักคนที่เป็นที่ปรึกษา เริ่มต้องย้ายบ้านไปอยู่กับญาติ เปิดเทอมอยู่บ้านหลังนึง ปิดเทอมอยู่บ้านอีกหลังนึง จากการอยู่บ้านของตัวเอง ก็กลายเป็นผู้อยู่อาศัย พร้อมกับกระเป๋าเดินทาง “ความรู้สึกของบูม ก็เปลี่ยนไป จากเดิมเป็นเด็กที่ถูกสปอยล์ แต่ก็ไม่ได้ถูกสปอยล์แล้ว พอไปอยู่บ้านคนอื่นก็เริ่มรู้จักกับการเติบโต การ sharing เริ่มต้องเกรงใจเค้า รอเค้า มันไม่ใช่ที่ของเราแล้ว เริ่มมีความรู้สึกว่าไม่เข้าใจทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงต้องเกิดกับครอบครัวเรา แต่โชคดีที่พ่อแม่บูมไม่ได้ทำตรงนี้ให้เป็นปมสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเข้ากันไม่ได้ แต่เราถูกปลูกฝังมาว่าถึงแม้ครอบครัวเราจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะยุติความเป็นครอบครัว เค้าไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าขาด แต่อาจมีความรู้สึกบางทีว่าเราเป็นเด็กมีปัญหาหรือเปล่า เพราะต้องอยู่กับแม่บ้าง ย้ายไปอยู่กับพ่อบ้าง มันคือการเปลี่ยนแปลงตลอด เหมือนต้องเริ่มใหม่ตลอดเวลา”

การเติบโต, เบ่งบาน

คุณบูมบอกกับเราว่า เพราะสถานการณ์นี้จึงทำให้กลายเป็นเริ่มสร้างนิสัย เราจึงถามต่อว่า สถานการณ์ที่เผชิญอยู่ได้สร้างนิสัยอะไรให้กับเธอบ้าง ?

“นิสัยของการ รอ การหล่อหลอมให้เราเป็นคนที่รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน ถ่อมตน หรือว่าเข้าใจคนอื่น เพราะพอเราไปอยู่บ้านคนอื่น บ้านไหนกินข้าวกี่โมง เช่น ทุ่มตรง เราก็ต้องรอ จากเดิมที่อยู่บ้านตัวเองก็คือจะกินเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเราเคยมีพี่เลี้ยงอุ้มเราขึ้นจากเตียงตอนเช้า ถักเปียให้เรา อาบน้ำให้เรา ทำทุกอย่างให้เรา จนขึ้นรถ คนขับรถรออยู่ มีข้าววางให้ในรถ นั่งประกบไปส่งถึงโรงเรียน แต่พอเราย้ายไปบ้านอี๊ บ้านก็ไกลโรงเรียน ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง มันก็ค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยฝึกให้ทำอะไรเองหลายๆ อย่าง เริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เรียนรู้การเติบโตโดยไม่พึ่งพาอาศัยคนอื่นมากขึ้น แล้วก็ฝึกความเข้าใจว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน เพราะว่าเราอยู่กับการเดินทาง การเปลี่ยนแปลง ไม่มี comfort zone ตั้งแต่พ่อแม่เลิกกัน ทำให้เราเข้าใจและปรับนิสัยที่ไม่ดีออกไปเยอะมาก”

การเติบโต, เบ่งบาน

เราถามต่อเรื่องการค้นหาตัวเอง การเลือกเรียนต่อ เธอบอกกับเราว่าไม่เคยค้นหาตัวตนของตัวเอง ไม่รู้เลย เพราะไม่มีคนมาชี้ทาง เหมือนโตมาด้วยตัวเอง ไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีความฝันอะไร อยากเป็นอะไร อยากเรียนอะไร และพ่อแม่ไม่ได้บังคับ ทำให้รู้สึกชิลล์กับเรื่องการศึกษา แต่ไม่ได้มองว่าการศึกษาไม่สำคัญ และเพราะความไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร ก็เลยเรียนตามเพื่อน และค่อยๆ เริ่มค้นพบตัวเองว่าชอบอะไร ถนัดอะไรในช่วงมัธยมปลาย ส่วนการบริหารจัดการเรื่องการเรียนการสอบในช่วงเวลาที่เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงนั้น เธอจะใช้วิธีการอ่านชีท อ่านหนังสือ ในคาบที่ไม่ได้เข้าเรียน มีวินัยกับการอ่านหนังสือ จนทำให้ผ่านสอบมาได้ทุกรอบ

ฟังเรื่องราวของคุณบูมจนมาถึงตรงนี้แล้ว ก็เลยเกิดอยากรู้ว่า แล้วช่วงวัยรุ่นที่เจอการเปลี่ยนแปลงของเธอนั้น มี point ไหนบ้างมั้ย ที่ทำให้คุณบูม กลายมาเป็นบูม สุภาพรในตอนนี้ ซึ่งเธอก็ตอบว่า คิดว่าทุกช่วงของชีวิต ตั้งแต่การเกิด และได้มีชีวิตอยู่ในครอบครัวนึง คือการหล่อหลอมให้คนคนนึงกลายมาเป็นตัวตนจนถึงทุกวันนี้ แต่ถ้าถามถึง point แล้ว “บูม คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ พ่อแม่เลิกกัน แล้วก็เวลาที่เราเจอปัญหาทุกปัญหา ไม่ว่าจะยากหรือง่าย มันหล่อหลอมให้เราเป็นเรา”

การเติบโต, เบ่งบาน

5. บูมคิดยังไงกับเรื่อง “จังหวะเวลาของชีวิต” คิดว่าถ้าเก่ง มีความสามารถแล้ว จังหวะเวลาของชีวิตยังสำคัญมั้ย ?

“บูม เชื่อมาก เรื่องนี้บูมเชื่อมาก คนเก่งก็ต้องคู่กับคนเฮงด้วย เพราะบางทีเก่งอย่างเดียวมันไม่พอ แล้วที่สำคัญก็ต้องเป็นคนดีด้วย แต่ที่สำคัญคือทุกๆ ความเฮงมันคือโอกาส” เธอขยายความต่อว่า “เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกๆ โอกาสที่กำลังจะเข้ามาเสมอ ถึงแม้ว่ายังไม่ได้เข้ามา แต่เราต้องพร้อม บางคนปฏิเสธโอกาสเพราะความกลัว กลัวว่าจะทำออกมาได้ไม่ดี กลัวว่าจะไปไม่ถึง หรือว่าไม่กล้าที่จะคว้าโอกาสนั้น แต่สำหรับตัวบูม บูมคิดว่าเราต้องพร้อมสำหรับทุกโอกาส ไม่ว่าจะคือโอกาสอะไรก็ตาม เช่น เราจะมีโอกาสได้เป็นพิธีกร เราก็ยังไม่รู้เลยนะว่าเราจะทำได้ดีแค่ไหน แต่เราคว้าไปก่อน เราจะทำมันให้เต็มที่ที่สุด อย่าปฏิเสธเพราะความกลัว หรือตัดสินตัวเองว่าเราทำไม่ได้ นั่นแหละคือการเตรียมพร้อมรับทุกโอกาส”

6. Time to bloom จังหวะเวลาชีวิตที่เบ่งบานของตัวบูมเองเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ?

“บูมคิดว่าก็เบ่งบานตลอดนะ เราทุกคนมีช่วงโมเม้นต์ที่เบ่งบานได้ตลอด มันอาจจะเป็นทางใจ เช่น การได้สัมภาษณ์คนคนนึงแล้วเค้ามาเติมเต็มความรู้สึกเรา โมเม้นต์นั้นก็คือ Bloom แล้วนะ มันคือการเบ่งบานสำหรับบูมแล้วนะ แต่บูมไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองว่าบูมเบ่งบานในช่วงไหน อาจจะมองว่าบูมเบ่งบานในช่วงที่ประสบความสำเร็จ แต่ตัวบูมเอง อาจจะมองว่าเราอยากประสบความสำเร็จกว่านี้อีกก็ได้ เพราะฉะนั้น การเบ่งบานมันขึ้นอยู่กับว่าเรามองมันยังไง แต่ตัวบูม มองว่ามันเบ่งบานได้ในทุกๆ วันที่บูมเจออะไรที่มันฮีลใจ หรือเจอคนที่เค้า amazing จังเลย เจอคำพูดบางคำพูดที่มัน touch เราจังเลย วันนั้นเราจะรู้สึกว่าเราเบ่งบานมาก หรือการที่บูมเข้าฉากแต่ละฉาก บางฉากบูมรู้สึกว่า บูมทำมันได้แล้ว อะไรแบบนี้ นั่นแหละวันนั้นก็คือจะเบ่งบานมาก หน้าบานเลย นั่นแหละคือการเบ่งบาน”

การเติบโต, เบ่งบาน

เราถามคุณบูมต่อว่า มีเหตุการณ์ไหนมั้ย ที่ touch แล้วไม่ลืม เธอตอบเราว่า ตอนที่ทำงานกับผู้ใหญ่หลายๆ คน และได้คำสอนเสมอ ทำให้ได้กลับมามองตัวเอง เพราะบางทีเราอาจลืมไป “วันที่บูมเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม ก็ได้คำสอนว่า จำไว้นะ ชื่อเสียงสร้างยาก แต่ชื่อเสียแป็บเดียว แค่นั้นเราก็ touch แล้ว หรือบางครั้งเราเป็นพิธีกร แล้วเราเข้าใจแล้ว จนเราลืมไปว่าคนอื่นอาจจะไม่ได้เข้าใจเหมือนเราก็ได้ เราเข้าใจในหัวเราเพราะว่าเรามีประสบการณ์ จนมีพี่คนนึงเค้าพูดกับเรามาว่า อย่าลืมนะ เราได้ เราเก่งแล้ว แต่การทำงานอย่าลืมมีเมตตากับการทำงานกับคนอื่นด้วย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เค้าจะทำได้อย่างที่เราทำได้ ซึ่งเราก็เออ เราลืมไป เราลืมเมตตากับคนอื่นไป นั่นแหละมัน touch เรามาก”

7. ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน การค้นหาตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ส่วนตัวบูมมีวิธีการค้นหาตัวเองยังไงบ้าง ?

“เชื่อมั้ย ทุกวันนี้บูมก็ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ บูมว่าการค้นหาตัวเองเป็นสิ่งที่ยากที่สุด และบูมก็ดีใจมากที่เจอคนที่ค้นหาตัวเองเป็น แต่สำหรับตัวบูมเอง บูมก็ยังหาไม่เจอนะ แต่ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต บูมมองว่ามันคือโอกาสที่เรามีความสุขกับมัน เราก็เลยรู้สึกว่าเราโชคดี ยิ่งบูมทำงานอยู่ในวงการ เราเหมือนถูกสั่งให้ทำมาโดยตลอดตั้งแต่ตอนเด็กๆ ตั้งแต่ในโมเมนต์ที่เราต้องค้นหาตัวเอง แล้วบังเอิญว่าเราถูกเค้าบอกให้เราทำมาโดยตลอด​ โดยที่เราไม่ได้คิดที่จะทำ แล้วสิ่งที่เค้าบอกให้เราทำ ทำแล้วมันก็ดีนี่นา เห็นการเติบโต เราก็เลยไม่เคยได้ค้นหาตัวเองเลย แต่ถ้าถามว่าทุกวันนี้เราค้นหาตัวเองเจอจริงๆ จังๆ หรือยัง ก็อาจจะยอมรับว่าเราไม่ได้ค้นหาตัวเองเจอแบบ 100% แต่ถ้าถามว่าเราเจอตัวเองที่เราใช่ เราชอบแล้วหรือยัง เราก็เจอแล้วนะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเจอจนกระจ่างใส หรือว่าตอบได้ชัดเจนว่าฉันชอบฉันที่เป็นแบบนี้ มันคงไม่ใช่ เพราะว่าเราต้องเรียนรู้กับตัวเราเองไปทุกวัน แต่ ณ วันนี้เราก็เจอแล้วว่าตอนนี้เราก็ชอบในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำอยู่”

การเติบโต, เบ่งบาน

8. ช่วยเล่าประสบการณ์​การเป็นบุคคลธรรมดา กับบุคคลสาธารณะ แตกต่างกันยังไงบ้าง เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ?

คุณบูมตอบว่า เป็นเรื่องของ Priority การที่เป็นคนสาธารณะได้ Priority ก็จริง แต่เค้าเสีย Privacy ซึ่งกลับกันกับคนธรรมดา “ทุกอย่างก็มีได้มีเสีย บูมว่า การที่เราเป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา หรือว่าคนสาธารณะ เราเป็นคนดี เราไม่ได้ทำร้ายใคร แค่นี้บูมว่ามันก็โอเคแล้วนะ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมาย สำหรับตัวบูมนะ”

9. มีคำแนะนำอะไร สำหรับคนที่อยากก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงมั้ย ?

“สิ่งที่ต้องเตรียม คือการรับมือ รับมือกับตัวเอง รับมือกับกิเลสตัณหา รับมือกับความต้องการของตัวเอง รับมือกับผู้คน รับมือกับการเอาชนะตัวเองให้ได้ การทำให้เราเป็นคนที่ดีในทุกๆ วัน หรือว่าทำตัวเราให้เป็นคนเดิมที่น่ารักแบบเดิมตลอดไป”

10. ช่วงวัย 30 ของบูมเป็นยังไงบ้างคะ ? ได้ทำในสิ่งที่อยากทำครบแล้วหรือยัง หน้าที่การงานเป็นไปตามที่ฝันไว้มั้ย ?

“สิ่งที่อยากทำก็ได้ทำ โชคดีที่ได้ทำ ได้ทำให้ครอบครัวมีความสุข ได้ทำให้แม่มีความสุข แม่คือที่สุดสำหรับบูมแล้วนะ บูมก็รู้สึกว่ามันก็มาทันพอดีในวัย 30 เป็น 30 ที่ไม่ต้องย้ายบ้านอีกตลอดชีวิต มีความสุข เป็นวัยที่บูมรู้สึกว่า โชคดีที่ได้ตัดสินใจทำมัน ขอบคุณตัวเองที่ กล้า ขอบคุณทุกๆ เรื่องราวที่ทำให้เราต้องตัดสินใจทางออกแบบนี้ เป็นวัย 30 ที่เราชอบนะ”

การเติบโต, เบ่งบาน

เห็นคุณบูมเริ่มขอบคุณตัวเองแล้ว เราเลยอยากพาย้อนกลับไปวัยเด็ก ไปนึกถึงการเดินทางตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้กันหน่อยค่ะ

11. จากวัยเด็กจนเดินทางมาถึงตอนนี้แล้ว มีอะไรอยากจะบอกตัวเอง หรือขอบคุณตัวเองบ้างมั้ยคะ ?

“ขอบคุณตัวเองที่ไม่ค่อยรู้เรื่องนะ ถ้าเธอรู้เรื่อง เธอเป็นเด็กคิดมาก เธอจะเป็นเด็กที่นั่งจมอยู่กับปัญหาที่ตัวเองคิดแน่นอน ขอบคุณที่กล้าที่จะผ่านมันมาได้ ขอบคุณที่เลือกเดินในทางที่สว่าง เลือกเดินในทางที่ดี มันก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนะที่จะเดินในทางที่ไม่ได้ได้ แต่ขอบคุณตัวเองที่เดินแบบนี้ ขอบคุณที่รักตัวเองมากพอ และขอบคุณที่เข้มแข็งและอดทนที่จะให้ทุกๆ อย่างมันผ่านไป จนมาถึง ณ วันนี้ แล้วเรายังมีชีวิตอยู่”

เราได้ยินคุณบูมพูดถึงเรื่องการเลือกทางเดิน จึงถามต่ออีกหน่อยว่า การที่เลือกทางเดินนั้น มันขึ้นอยู่กับคุณบูมเอง หรือว่าอะไร เธอตอบทันทีว่า “เกิดจากตัวบูม เพราะว่า บูมไม่ได้ไปเสียคน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ไปเที่ยวอะไรอย่างนี้นะ บูมก็ไปใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น ไปเที่ยวกลางคืน ไปที่อโคจร แต่ว่า เราไม่ได้ไปเพื่อเลือกมันเป็นทางออกของชีวิต เราไปเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แต่วันนึงที่เรามีปัญหา เรากลับไม่ไปทางนั้น เรากลับมานั่งอยู่กับตัวเอง กลับมานั่งดูเงินในบัญชี ทางออกมี 1 2 3 4  แบบนี้ดีมั้ย แบบนี้ดีมั้ย มานั่งคิดว่า ออกทางนี้ ผลเสียของมันจะเป็นอะไร เราโชคดีที่เราไม่ไป way นั้น เรากลับมา way นี้ แล้วก็หาทางออกให้กับตัวเอง ที่อาจจะไม่ดีที่สุด แต่ว่าลำบากกับครอบครัวและคนอื่นน้อยที่สุด”

การเติบโต, เบ่งบาน

12. อนาคตอยากเห็นตัวเองเป็นแบบไหน ?

เราถามคุณบูมต่อว่า “ต่อจากนี้อยากเห็นตัวเองเป็นแบบไหน ?” คุณบูมคิดแล้วตอบว่า “อืม…ก็อยากเห็นตัวเองมีความสุขในทุกๆ วัน มีสุขภาพที่แข็งแรง มีแม่อยู่เคียงข้างตลอด มีที่ที่อยู่แล้วรู้สึกปลอดภัย เป็น comfort zone ของตัวเรา อยากเห็นตัวเองเป็นแบบนั้น มีกิจกรรมที่เรารัก ทำไปเรื่อยๆ แล้วที่สำคัญต้องมี income ด้วยนะ อาจจะไม่ต้องวิลิศมาหรา แต่การที่เรามีความสุข สุขภาพดี มีเงินใช้ เป็นสิ่งที่เราจิตนาการว่าเราอยากจะเป็นแบบนั้น”

Inspire Now ! : เป็นยังไงกันบ้างคะกับ Time to Bloom กับคุณบูม สุภาพร มาถึงตอนจบของบทสัมภาษณ์แล้ว ตอนนี้เราไม่รู้ว่าผู้อ่านคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับการพูดคุยกันเกือบ 1 ชั่วโมงนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า คนเราไม่ควรกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เราไม่ควรเข้มงวดกับการใช้ชีวิต แต่จงยืดหยุ่นให้เป็น ปรับตัวให้เป็น เข้าใจ และเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่เป็น สิ่งที่มีอยู่ เพราะทุกคนล้วนมีจังหวะเวลาแห่งการเบ่งบาน ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาของการเติบโตอย่างเปล่งประกายได้ ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะเวลาของเรา แต่เราจะได้เจอช่วงเวลานั้นแน่นอน หากเราปรับตัว และพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นอยู่เสมอ ยังไงก็ขอให้ทุกคนมีความสุขให้เต็มที่ และสนุกกับครึ่งปีหลังที่กำลังจะมาถึงกันนะคะ

สำหรับใครที่อยากติดตามคุณบูม ก็สามารถติดตามได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียของเธอ ทั้ง Facebook / Instagram / Tiktok ที่ b_boom ส่วนใครที่อยากติดตามผลงานคุณบูม ก็รับชมได้ทางรายการต่างๆ รวมถึงละครที่ออกอากาศทางช่อง 3 ได้เลยค่ะ

DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? หวังว่าบทสัมภาษณ์นี้ จะสร้างพลังดีๆ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านได้บ้างนะคะ อ่านจบแล้วรู้สึกยังไง คิดเห็นยังไง มาคอมเมนต์แลกเปลี่ยนกันนะคะ ♡

Facebook Comments

คนชอบเขียนที่ไม่ค่อยอยู่นิ่ง หลงรักดอกไม้ โดยเฉพาะไฮเดรนเยีย สนใจการพัฒนาตัวเองและใจเต้นทุกครั้งเมื่อได้ออกเดินทาง