Work Smart คืออะไร ? Work Hard อาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ทิปส์ 7 วิธี ทำงานอย่างไรให้ Productive กว่าเดิม !
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า Work Hard กันมาบ้าง ซึ่งก็แปลตรงตัวคือ การทำงานอย่างหนัก หลายคนทุ่มเททำงานหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิต จะได้มีความก้าวหน้าในอาชีพ ได้เลื่อนขั้น หรืออาจจะอยากพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ซึ่งการทำงานหนักก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจของเรา แต่ถ้าเราเลิกงานดึกทุกวัน หอบเอางานไปทำต่อที่บ้านทุกวัน และให้งานมาก่อนสิ่งอื่นใดในชีวิต แต่ก็ดูเหมือนว่า งานไม่ได้มีคุณภาพมากเท่าไหร่ ซึ่งนั่นอาจจะไม่ใช่วิธีทำงานที่ถูกต้อง เราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ โดยใช้วิธีแบบ Work Smart คือ การทำงานอย่างมีกลยุทธ์ มีการวางแผนที่ดี เพื่อให้เรามีเวลาส่วนตัวมากขึ้น แถมงานยังมีคุณภาพมากขึ้นด้วย
แม้การทำงานให้ Productive คือ การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทำงานหนัก เพื่อให้ Productive เสมอไป ลองเปลี่ยนวิธีการทำงานดูใหม่ โดยใช้วิธี Work Smart แทน อาจจะทำให้การทำงานมีคุณภาพมากขึ้น และไม่ต้องทำงานหนักโดยไม่จำเป็นก็ได้นะคะ
Work Hard อาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป มาทำงานแบบ Work Smart กันเถอะ !
Image Credit : Freepik
อาจเคยมีกระแสของการทำงานแบบ Work Hard คือ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เลิกงานดึก หรือทำงานข้ามวันข้ามคืน ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานเพราะทำให้เราดูเป็นคนทำงานเก่ง ยิ่งทำงานเยอะยิ่งดูเท่ ดูเป็นคนเอาการเอางาน เจ้านายจะต้องปลื้ม ลูกค้าจะต้องไว้วางใจในตัวเรามากขึ้น แต่ความจริงแล้ว การทำงานหนักจนเกินไปส่งผลเสียมากมาย ทั้งกับสุขภาพกายและสุขภาพจิต นอกจากโรคทางกายต่างๆ ที่มากับการทำงานอย่างออฟฟิศซินโดรม โรคกระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ฯลฯ ยังทำให้เราเครียดเรื้อรัง วิตกกังวลอยู่กับงานทั้งวันทั้งคืน ไม่สามารถเอาเรื่องงานออกจากหัวได้ จนทำให้มีปัญหาทางสุขภาพใจ เพราะฉะนั้น ได้เวลาเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วค่ะ! มาทำงานแบบ Work Smartกันเถอะ นอกจากจะใช้เวลาน้อยลงแล้ว ยัง Productive คือ ได้การได้งาน มีผลงานออกมา และเป็นงานที่มีคุณภาพ จะทำยังไงได้บ้าง ไปดูกันเลยค่ะ
[affegg id=4364]
1. โฟกัสไปที่งานสำคัญที่สุดก่อน
ในการทำงานแต่ละวันนั้น เรามีสิ่งที่ต้องทำมากมาย ถ้าไม่จัดลำดับความสำคัญของงาน ก็อาจจะทำงานอย่างสะเปะสะปะและบางงานก็อาจเสร็จไม่ทันเวลาได้ ดังนั้น ในแต่ละวัน ให้ทำงานที่มีความสำคัญที่สุด ด่วนที่สุด จำเป็นมากที่สุดให้เสร็จเรียบร้อยไปก่อน จากนั้นค่อยทะยอยทำงานอื่นๆ ที่มีความสำคัญรองลงลงมา การจัดลำดับความสำคัญของงาน จะทำให้เราไม่เครียดกับ Deadline ในท้ายของวันด้วยค่ะ จะใช้วิธีจดแบบ Bullet Journal ไอเดีย มาช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของงาน หรือรายการที่ต้องทำต่างๆ ก็จะทำให้เป็นระเบียบ และมองภาพได้ชัดเจนมากขึ้น
2. ทำ To – Don’t List
ทุกคนรู้จักการทำ To Do List เป็นอย่างดี แต่การเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำจำนวนมากเกินไปนั้น นอกจากจะไม่สามารถทำได้จริงแล้ว ยังทำให้รู้สึกว่าเราเป็นคนล้มเหลวที่ไม่สามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้อีกด้วย มาจัดระเบียบตัวเองใหม่กันค่ะ ให้เขียน To Do List หรือรายการที่ต้องทำสำคัญๆ ไว้ 3 – 5 อย่างเท่านั้น และเพิ่ม To – Don’t List ลงไปแทน เช่น จะไม่ไถโซเชียลไปอย่างเปล่าประโยชน์ในเวลางาน จะไม่แวะพักดูยูทูปซึ่งจะทำให้คลิกดูวิดีโอไปเรื่อยๆ และทำให้งานไม่เสร็จ จะไม่นั่งดู TikTok ก่อนเวลางานเพราะจะทำให้ไม่ได้เริ่มทำงานสักที ซึ่งการทำ To Don’t List ในแต่ละวันจะทำให้เราตัดสิ่งรบกวนเวลาทำงานออกไป และมีเวลาทำงานมากขึ้นค่ะ
3. อย่ารอแรงบันดาลใจ
Image Credit : Freepik
วิธีที่ธรรมดาที่สุดในการเริ่มทำงานแบบWork Smart อย่าง Productive คือ ให้ลงมือทำทันที ในบางคนก็ไม่สามารถเริ่มทำงานได้ถ้ายังไม่มีอารมณ์ทำงาน หรือยังไม่มีแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งก็อาจจะทำให้ประวิงเวลาไปเรื่อยๆ และการที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานในขณะที่ Deadline ขยับเข้ามาใกล้ทุกทีนั้น ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล และแพนิคได้ สิ่งที่จะทำให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไปคือ ลงมือทำงานนั้นทันทีค่ะ เราอาจจะอิดออดบ้างในตอนแรก แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้นนี่แหละ ถ้าเราจดจ่อกับทำงานได้สัก 5 – 10 นาทีไปแล้ว ความตั้งใจที่อยากจะทำให้เสร็จก็จะเกิดขึ้น อารมณ์อยากทำงานก็เริ่มจะมา เริ่มจะคิดอะไรออก สมองก็จะเริ่มแล่น เพราะฉะนั้น ถ้าวันไหนไม่มีอารมณ์ทำงาน ให้ลงมือทำงานนั้นทันที แล้วงานจะเสร็จอย่างแน่นอน
[affegg id=4365]
4. หยุดทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
การมีสกิล Multitasking อาจจะดูเท่และดูเก่ง แต่ความจริงแล้ว การทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กันนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ทุกอย่างออกมามีคุณภาพและสำเร็จตามเวลาในทุกๆ งาน การใช้สมองทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันไม่อาจทำให้เกิดสมาธิและสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งๆ หนึ่งได้ ทำให้เราหงุดหงิด สับสน งงงวย พาลให้เสียสุขภาพจิตไปเปล่าๆ ทางทีดี ลองทำงานให้เสร็จเป็นชิ้นๆ ไป โดยเลือกทำงานที่มีความสำคัญมากที่สุดก่อน จะทำให้เราทำงานอย่าง Productive มากขึ้นค่ะ
5. จัดตารางเวลาทำงานตามนาฬิกาชีวิตของคุณ
Image Credit : Freepik
ความจริงแล้ว เราทุกคนมีนาฬิกาชีวิตเป็นของตัวเอง นาฬิกาชีวิต คือ สิ่งที่กำหนดเวลาการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน บางคนอาจมีพลังงานมากที่สุดในช่วงเช้าของวัน ในขณะที่บางคนมีพลังงานหลังช่วงหลังเวลาพระอาทิตย์ตก วิธีการทำงานอย่าง Work Smart คือ ถ้าเรารู้ว่านาฬิกาชีวิตของเราเป็นแบบไหน จะได้จัดตารางงานตามเวลานั้นๆ เช่น ถ้าเป็นคนที่มีพลังช่วงเช้าก็ให้ทำงานที่ยากที่สุดในตอนเช้าก่อน หรือบางคนหัวแล่นช่วงค่ำๆ ดึกๆ ก็ให้ใช้เวลานี้เตรียมงานที่ยากของวันถัดไป จะได้บริหารจัดการงานในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสมกับช่วงเวลาของตัวเองค่ะ
6. ปิดการแจ้งเตือน
การปิดแจ้งเตือนแอปพลิเคชั่นที่ไม่ได้ใช้สำหรับทำงาน เช่น Instragram Facebook Massenger Youtube หรือแอปฯ ช็อปปิ้งต่างๆ จะทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น และสามารถจดจ่ออยู่กับงานได้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องมีเสียงแจ้งเตือนดังรบกวน เพราะบางครั้งการแจ้งเตือนในแอปฯ ต่างๆ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือเรื่องด่วนอะไร แต่ถ้าหากคนที่บ้านหรือเพื่อนต้องการติดต่อเรื่องที่สำคัญจริงๆ ก็อาจจะต้องบอกเพื่อนที่คนที่บ้านไว้ก่อนว่า ถ้ามีเรื่องด่วนให้โทรหาเท่านั้น วิธีนี้ จะทำให้เราทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และงานเสร็จไวขึ้นค่ะ
7. พักให้เป็น
Image Credit : Freepik
ในบางคนที่ชอบทำงานหรือเป็นคนบ้างาน ก็อาจจะนั่งทำงานไปเรื่อยๆ จนถึงดึกดื่น แม้จะทำงานได้มากขึ้นก็จริง แต่ก็ทำให้สมองล้า และร่างกายเหนื่อยล้าไปหมด และใช้เวลาทำงานง่ายๆ นานขึ้น เช่น ใช้เวลานานในการเขียนอีเมลตอบลูกค้า หรือไม่มีสมาธิ ต้องตรวจงานอยู่หลายๆ รอบเพราะรู้สึกไม่จดจ่อ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป นอกจากงานจะไม่คืบหน้าแล้ว เราก็ไม่ได้พักผ่อนด้วย ดังนั้น จึงควรตั้งกฎกับตัวเองไว้ว่า จะเลิกทำงานตอนกี่โมง และทำตามกฎนั้น เพื่อที่จะได้มีเวลาพักผ่อน ชาร์ตแบตให้กับตัวเอง และเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างสดใส กะปรี้กะเปร่า และทำงานได้อย่างมีคุณภาพ
อีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้นคือ ต้องมี Self Monitoring คือ หมั่นสังเกตประเมินตัวเองค่ะ การทำงานแบบ Work Smart ต้องรู้ว่าธรรมชาติในการทำงานของตัวเองเป็นอย่างไร แล้วใช้วิธีที่เราแนะนำเอามาปรับให้เข้ากับสไตล์การทำงานของตัวเอง ถ้าเราเป็นคนที่เคร่งเครียดกับตัวเองไป ก็ต้องหยุดพักบ้าง เช่น ออกไปเดินเล่นบางสัก 5 -10 นาที หรืออยู่กับธรรมชาติบ้างเพื่อให้สมองผ่อนคลาย ให้ร่างกายได้ยืดเส้นยืดสายบ้าง เพราะการนั่งทำงานทั้งวันทั้งคืนอาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพได้ แต่ถ้าเราเป็นคนที่ทำงานตามอารมณ์ ก็อาจจะต้องมีระเบียบวินัยในตัวเองมากขึ้นอีกนิดหน่อย อาจจะวางแผนการทำงานในแต่ละวันอย่างหลวมๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ปรับให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น และถ้าเป็นคนที่มักจะมีตารางงานวุ่นวายตลอดทั้งวัน การจัดลำดับความสำคัญของงาน และโฟกัสทีละอย่าง ก็จะทำให้สามารถบริหารจัดการเวลาได้ดีขึ้น
[affegg id=4366]
Inspire Now ! : แต่ละคนมีสไตล์การทำงานเป็นของตัวเอง การรู้จักวิธีการทำงานของตัวเอง พัฒนาในจุดแข็ง และปรับปรุงในจุดอ่อน ก็จะทำให้เรา Productive มากขึ้น และอย่าไปเคร่งเครียดหรือกดดันตัวเองมากจนเกินไป เพียงแค่เลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งจะทำให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้เวลาทำงานทั้งวันทั้งคืนหรือทำงานหนักนั้นอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ลองให้วิธีทำงานแบบ Work Smart ดูบ้าง เราอาจจะทำงานสนุกขึ้น งานออกมาดีมากกว่าเดิมแถมยังมีเวลาพักผ่อนของตัวเองด้วย
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? มาทำงานแบบ Work Smart กันเถอะ ! ได้ผลยังไงบ้าง ทำงานได้ดีขึ้นไหม ? มาคอมเมนต์บอกเราด้วยนะคะ ♡
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : lifehack.org, forbes.com, zapier.com
Featured Image Credit : freepik.com/lookstudio