Manifestation คือ

Manifestation คือ อะไร ? ทำไมถึงต้อง Manifesting ถ้าอยากให้อะไรเป็นจริง

หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของกฎแรงดึงดูดกันมาบ้าง ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ว่า ถ้าเราเป็นคนแบบไหน เราก็จะดึงดูดคนแบบเดียวกันกับเรา หรือถ้าเราคิดถึงอะไร เราก็จะได้สิ่งนั้นมา ไม่ว่าจะเป็นการคิดถึงความสัมพันธ์ที่ดี การคิดถึงงานที่ใช่ หรือคิดถึงการประสบความสำเร็จในชีวิต และหาทางให้ได้รับสิ่งๆ นั้น แต่ในปัจจุบัน มีสิ่งที่เรียกว่า Manifestation คือ หลักการสร้างความสำเร็จ ด้วยความคิดและความเชื่อมั่นในตัวเองว่า เราสามารถทำสิ่งๆ นั้นให้เกิดขึ้นจริงได้

ถ้าใครเป็นสายมูเตลู ก็จะรู้ว่าแม้แต่ในวงการพยากรณ์หรือโหราศาสตร์ก็แนะนำให้มีการ Manifsting อย่างแพร่หลาย พูดง่ายๆ ว่าเป็นการขอพรต่อจักรวาล หรือเป็นการบอกกับจักรวาลว่า เราต้องการสิ่งใด และจักรวาลจะนำพาสิ่งนั้นมาให้เรา และเชื่อว่าเราสมควรที่จะได้รับสิ่งนั้น อย่างไรก็ตาม การ manifest ไม่ใช่การคิดถึงในสิ่งที่เราต้องการแล้วอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร แต่เป็นการคิดและลงมือทำไปพร้อมๆ กัน โดยเชื่อมั่นว่าตัวเองจะทำได้สำเร็จ มาดูกันว่า เราจะ Manifsting ได้อย่างไรบ้าง และไม่ใช่แค่สายมูเท่านั้นที่จะทำได้ ใครๆ ก็สามารถ Manifsting ได้ค่ะ ส่วนจะทำได้อย่างไรนั้น ไปดูกัน

Manifestation คือ อะไร ? แล้วต่างจากการตั้งเป้าหมายยังไง ?

Manifestation คือ, กฎแรงดึงดูด
Image Credit : freepik.com

อย่างที่บอกไปว่า Manifestation คือ การสร้างความสำเร็จด้วยความเชื่อมั่นว่ามันจะเกิดขึ้นจริง และลงมือทำ ถ้าใครได้เคยศึกษาการ Manifestation มาบ้าง อาจจะเกิดคำถามว่า แล้วมันต่างจากการตั้งเป้าหมายยังไง เพราะวิธีการก็คล้ายๆ กัน คือ เจาะจงในสิ่งที่เราต้องการ วางแผนวิธีการ และลงมือทำให้สำเร็จ แต่การ Manifestation จะเพิ่มความเชื่อมั่นเข้ามาด้วย คือ ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ ขอให้มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถมากพอ เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น มีความศรัทธาต่อเป้าหมายของตัวเอง และเรามี Mindset ว่าเราสมควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านั้นค่ะ

หนังสือ วิธีฝึกใจให้แกร่ง รับมือได้ทุกปัญหา

แล้วจะ Manifest ได้ยังไงบ้าง ?

มาดูกันค่ะว่า เราจะสามารถ Manifesting ได้ยังไงบ้าง อย่างที่บอกไปว่า ใครๆ ก็สามารถทำได้ จะเป็นสายมูหรือไม่มูก็ตาม และทำยังไงได้บ้างนั้น ไปดูกันได้เลยค่ะ

1. มองภาพเป้าหมายให้ชัดเจน

เราคนเดียวที่จะรู้ว่า เราอยากได้อะไรในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์ ถ้าเรารู้แล้วว่าเราต้องการอะไร เราก็จะมีความรับผิดชอบกับสิ่งนั้น คิดถึงแต่สิ่งนั้นโดยใช้กฎแรงดึงดูดร่วมด้วย และหาทางให้สิ่งๆ นั้นเกิดขึ้นจริงให้ได้ อาจจะทำเป็น Vision Bord/Dream Bord หรือ “กระดานเป้าหมายของตัวเอง” โดยการนำภาพที่เราอยากให้ตัวเองเป็นมาแปะๆ ไว้บนบอร์ด ไม่ว่าจะเป็นการได้ไปเที่ยวในประเทศที่อยากไป การเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง หรือไปเรียนเพิ่มเติมแล้วได้ใบประกาศณียบัตรมา หรืออะไรก็แล้วแต่ จุดเริ่มต้นของการทำ Manifestation คือ การมีภาพของสิ่งที่เราต้องการให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ถ้าทำ Vision Bord เสร็จแล้ว ก็นำบอร์ดนั้นมาแขวนไว้ในตำแหน่งที่เราเห็นบ่อยที่สุด เป็นการย้ำเตือนตัวเอง จะได้มีแรงฮึดไปให้ถึงฝันค่ะ

2. เริ่มต้นลงมือทำสิ่งนั้นให้เป็นจริง

การ Manifesting ไม่ได้หมายความว่าให้เรานั่งเฉยๆ และคิดว่าสิ่งๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้เองโดยที่เราไม่ทำอะไรเลย Manifestation คือการลงมือทำด้วยค่ะ ให้เราเริ่มต้นลงมือทำสิ่งนั้น และวางแผนวิธีการเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย หรือคิดถึงวิธีการที่จะทำให้ได้สิ่งนั้นมา เช่น ถ้าอยากได้งานใหม่ที่ตรงกับความสามารถของตัวเอง ก็ต้องเริ่มมองหางานที่สอดรับกับทักษะความสามารถของเรา และตัดชอยส์ที่ไม่ใช่งานที่เราต้องการออกไป หรือถ้าอยากมีความสัมพันธ์ที่ดี ก็พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมที่ดี แวดล้อมไปด้วยผู้คนที่มีความน่ารักจริงใจในแบบที่เราต้องการ เพราะถ้านั่งอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ออกไปเจอใคร ไม่คุยกับใคร ก็ยากที่จะเจอคนใหม่ๆ ได้นะคะ และอย่าลืมมีความเชื่อด้วยว่า สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับเราจริงๆ

3. อย่าลืมขอบคุณอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิต

Manifestation คือ, กฎแรงดึงดูด
Image Credit : freepik.com

“Gratitude is key” ไม่ว่าเราจะเจออะไรในชีวิต จะเป็นสิ่งที่ดีหรือร้าย ท้ายที่สุดแล้ว มันจะให้อะไรบางอย่างกับเราเสมอค่ะ เหมือนประโยคที่บอกว่า สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ เพราะฉะนั้น ให้เราขอบคุณสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เรียนรู้อะไรต่างๆ และกลายเป็นบทเรียนของชีวิต อย่าลืมชื่นชมขอบคุณความดีงามเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วยนะคะ สิ่งสำคัญของการ Manifestation คือความรู้สึกขอบคุณ และซาบซึ้งถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เพราะจะทำให้เราดึงดูดพลังงานดีๆ เข้ามา

หนังสือ วันไหนที่ใจแข็งแรง ดอกไม้จะผลิบาน THE ENCHANTED GARDEN

4. จดบันทึกการ Manifesting ของตัวเอง

ข้อนี้จะคล้ายๆ กับการเขียนไดอารี่ค่ะ ให้เขียนสิ่งที่เราต้องการเอาไว้ในสมุดจดบันทึก และเขียนว่ามีวิธีการอะไรบ้างที่จะทำให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ และเขียนด้วยว่า ตอนนี้เราไปถึงไหนแล้ว เราเข้าใกล้สิ่งที่เราต้องการแล้วหรือยัง ? ในระหว่างทาง เราพลาดอะไรไปบ้าง มีสิ่งดีๆ อะไรเกิดขึ้นบ้าง ? การจดบันทึก ทำให้เราสามารถกลับมาอ่านได้ และเป็นการเตือนตัวเองด้วยว่า เราจะต้องทำอะไรเพิ่มอีกบ้าง หรือเราไม่ควรทำอะไร เราจริงจังกับสิ่งนี้มากแค่ไหน เพื่อที่จะได้เป็นการปรับปรุงตัวเอง อาจจะใช้เทคนิคการจดบันทึกแบบ Bullet Journal หรือ Bujo เข้ามาช่วยในการจดด้วยก็ได้ค่ะ

5. ก้าวออกจากกรอบของตัวเอง

Manifestation คือ, กฎแรงดึงดูด
Image Credit : freepik.com

หมายถึง ให้เราปลดปล่อยอะไรก็ตามที่เป็นตัวเหนี่ยวรั้ง หรือกักขังไม่ให้เรามีชีวิตในแบบที่เราต้องการ บางครั้งเราก็มีความคิดที่จำกัดความเป็นไปได้ของตัวเองว่า เราไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ เราไม่สามารถเป็นคนแบบนั้นได้ เราประสบความสำเร็จไม่ได้ เราไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีได้ ซึ่งความคิดแบบนั้น เป็นความคิดที่ขีดเส้นให้กับตัวเองอยู่ และขังตัวเองไว้ไม่ให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ กระบวนการอย่างหนึ่งของ Manifestation คือการปลอดปล่อยความคิดแบบนั้นออกไป และเชื่อว่าตัวเองทำได้ค่ะ

6. เปลี่ยนพลังงานของตัวเองด้วย

พลังงานที่เราปลดปล่อยสู่คนอื่น คือพลังงานที่เราจะได้รับกลับมาด้วย ข้อนี้จะคล้ายๆ กฎแรงดึงดูดคือ ถ้าเราส่งพลังงานดีๆ ออกไปให้กับผู้อื่น ให้กับโลก เดี๋ยวโลกและจักรวาลก็จะส่งพลังงานดีๆ กลับมาหาเราเอง ถ้าเราปล่อยพลังงานลบๆ ออกไป หรือเอาแต่คิดลบกับตัวเอง คิดลบกับคนอื่น มันก็ยากที่จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นได้ เพราะความคิดเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรม และกำหนดการกระทำของเราด้วย ดังนั้น คิดดี พูดดี ทำดีกันเข้าไว้นะคะ

7. ยืดหยุ่นเข้าไว้ และเชื่อในกระบวนการ

Manifestation คือ, กฎแรงดึงดูด
Image Credit : freepik.com

แม้เราจะทำการ Manifestation คือจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราต้องการ แต่ถ้าเราเคร่งเครียดกับมันมากเกินไป และใจร้อนว่าจะต้องได้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ภายในวันนี้ สิ่งนั้นอาจจะไม่ขึ้นจริง เราต้องเชื่อในกระบวนการ หรือเชื่อในการกระทำของตัวเอง และเชื่อในกระบวนการของการ  Manifesting ตั้งแต่การมองภาพสิ่งที่เราต้องการให้ชัด  การลงมือทำ การปลอดปล่อยตัวเอง การส่งพลักงานบวก ถ้าเราทำอย่างสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ แล้ว พลังงานดีๆ ก็จะส่งต่อกลับมาให้เราเอง และทำให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการในที่สุดค่ะ

แม้บางคนอาจจะมองว่า Manifestation คือวิธีการของสายมู คล้ายกับเป็นการอธิษฐานต่อจักรวาล แต่ก็อาจมองได้อีกมุมหนึ่งว่า การ Manifesting เป็นการคิดถึงสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิต และเป็นการส่งต่อพลังงานดีๆ ให้กับทั้งตัวเองแล้วก็คนอื่น การที่เราตั้งใจทำงาน มีเป้าหมายในชีวิต และมีความต้องการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นๆ รวมไปถึงมองหาความสัมพันธ์ที่ดี และทำตัวน่ารักกับคนอื่น ก็หมายถึงการมีสิ่งดีๆ ในชีวิตเกิดขึ้นแล้ว และเดี๋ยวโลกกับจักรวาลก็จะใจดีกับเราเองค่ะ

หนังสือ สู่จุดสูงสุดของชีวิตด้วย “พีระมิดสามสุข”
Inspire Now ! : การ Manifesting อาจเป็นการสร้างแรงจูงใจที่มีพลังให้กับเรา อย่างน้อยก็ทำให้เรามองเห็นภาพของตัวเองชัดขึ้นในอนาคต รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อยากจะเป็นคนแบบไหน และมีความฝัน ทั้งยังต้องการจะทำให้ความฝันเป็นจริงให้ได้ และเชื่อมั่นในตัวเองว่าเรามีศักยภาพ มีความสามารถมากพอที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้

DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมใช่ไหม ? ใครลอง Manifest แล้วเป็นยังไงบ้าง สิ่งที่คิดเอาไว้เป็นจริงไหม สำเร็จหรือเปล่า ? มาคอมเมนต์เล่าให้เราฟังด้วยนะคะ ♡

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : self.com, betterup.com, oprahdaily.com

Featured Image Credit : freepik.com/jcomp

Facebook Comments

ฝันอยากเดินทางท่องโลกให้ได้มากที่สุด สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา รักการอ่านหนังสือ ชอบถ่ายรูป หลงใหลแมวและกาแฟ