ทักษะการฟัง สำคัญแค่ไหน ? ฝึกยังไงให้ฟังได้อย่างมีคุณภาพ ?!
ทักษะการฟัง หมายถึง อะไร มีความสำคัญยังไง มีแล้วดียังไง ชวนฝึกฟัง ไม่ใช่แค่ได้ยิน ฟังเก่งแล้วชีวิตดีขึ้นได้ยังไง มาทำความเข้าใจ แล้วฝึกไปด้วยกัน
Guest : คุณชมภู่ วรางคณา จำปาทอง (กรรมการผู้จัดการบริษัท เซียนทีวี จำกัด)
สวัสดีค่ะทุกคน ไม่ทันไร “11.11 วันคนโสด” ก็เวียนมาอีกครั้งแล้ว เราอยากชวนทุกคนเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นด้วยการชวนมาดูเรื่องราวของผู้หญิงสาวโสดที่น่าสนใจ กับบทสัมภาษณ์ของคุณวรางคณา จำปาทอง หรือ คุณชมภู่ กรรมการผู้จัดการบริษัท เซียนทีวี จำกัด และเธอยังทำงานอื่นๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น พิธีกร นักพากย์เสียง นักร้องอิสระ และงานล่าสุดก็คือ เป็นวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตคอนเทนท์ออนไลน์ และผู้ก่อตั้งเพจ “ย้ายหน้าร้าน ไปหน้าบ้านลูกค้า ด้วยออนไลน์” คุณชมภู่ย้ำว่า “สถานภาพตอนนี้ โสด (มากๆๆ) แต่เป็น ชีวิตโสด แบบสุขล้นๆ เข้าใจชีวิตมากขึ้น” ยังไงตามมาอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ
คุณชมภู่เล่าว่าตอนนี้สอนการตลาดออนไลน์ให้มือใหม่เปิดร้านออนไลน์ซึ่งเกิดขึ้นตอนสถานการณ์โควิด เนื่องจากปกติที่ผ่านมาทำงานสายงานวิดีโอโปรดักชั่นเปิดบริษัทของตัวเองมาเกือบ 8 ปี แต่จริงๆ ทำงานอยู่ในวงการนี้ก็ร่วม 20 ปี ที่นี้พอช่วงสถานการณ์โควิดงานก็หยุดชะงักออกกองถ่ายไม่ได้ แต่จริงๆ เรื่องการตลาดออนไลน์เคยวางแผนไว้อยากทำมา 2 ปีก่อนแล้วแต่ผลัดมาเรื่อย พอโควิดมาปุ๊บคือ เป็นเวลาที่เหมาะสมลงตัวได้เอาสิ่งที่ตั้งใจมาทำ
โดยตั้งเพจชื่อว่า “ย้ายหน้าร้าน ไปหน้าบ้านลูกค้า ด้วยออนไลน์” วันที่คิดชื่อเพจได้ปุ๊บ ออกแบบโลโก้ได้ปั๊บ ก็ไลฟ์เลย สอนผู้ประกอบการรายแรก ก็คือภรรยาหุ้นส่วนที่ร่วมกันก่อตั้งเพจด้วยกันนี่เลย เพราะเค้ากำลังเจอปัญหาร้านขายเสื้อถูกปิด ขายของไม่ได้ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น และได้ไปสอนให้ผู้ประกอบการหลายๆ แห่งเรื่อยมา แต่ตอนนี้สถานการณ์เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ ก็กลับมารับงานโปรดักชั่น ควบคู่ไปกับการสอนการตลาด การทำคอนเทนท์ออนไลน์ต่อเนื่องไปด้วย และก็เป็นคนโสดที่ใช้ ชีวิตโสด จริงๆ ด้วยค่ะ
เราเป็นเด็กผู้หญิงตัวใหญ่ ผิวดำ ผมหยิก อยู่ในกลุ่มเพื่อนแล้วดูแปลก ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งก็มีผลกับการใช้ชีวิตของตัวเองมาก เพราะตอนนั้นอยากเป็นดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์ อยากเป็นอะไรที่เด่นๆ คือ มีความอยากแสดงออก แต่ไม่ได้แสดงออก ตัวเราก็เลยเหมือนถูกปิดกั้น ตัดโอกาสไปโดยปริยาย แล้วมีอยู่ครั้งนึง มีโอกาสแต่งตัวออกไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ปรากฏว่าคนอื่นก็ตลก ขบขันเรา ตอนนั้นก็สับสนว่า เอ๊ะ! หรือแบบนี้มันไม่ใช่เรา นอกจากความกล้าแสดงออกแล้ว อีกอย่างที่ตอนนั้น คือ มีความเป็นผู้นำ เพราะตอนนั้นได้เป็นหัวหน้าชั้น และก็เป็นคนเรียนเก่งด้วย แต่มาคิดตอนนี้นะ ความเป็นผู้นำนี่คงได้มาจากพ่อ จำได้ว่าพ่อเคยพูดว่า ถ้าเราสงสัยอะไร ให้ลุกขึ้นถามเลย เราจะเป็นผู้นำ อย่านิ่งเงียบ ไม่งั้นเราจะเป็นคนธรรมดา
แล้วมีเหตุการณ์นึงตอนนั้นน่าจะซัก 10 ขวบ กำลังนั่งรถกลับบ้าน แล้วหันไปเห็นพ่อที่ข้างทาง กำลังช่วยเด็กที่เกิดอุบัติเหตุ เค้าอุ้มเด็กคนนั้น เราทึ่งมาก พ่อเราโคตรฮีโร่เลย นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตัวเองเลยว่า พ่อไม่ได้แค่พูด แต่พ่อทำให้เห็น ส่วนความกล้าแสดงออกเราได้มาจากแม่แน่ ๆ เพราะจำได้ว่าแม่เป็นคนชอบร้องเพลงลูกทุ่ง ชอบไปประกวดร้องเพลง ชอบแอคติ้ง สนุกสนาน แม่มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะแม่ทำงานโรงงานที่มักมีกิจกรรมการประกวดอะไรแบบนี้ ซึ่งก็ทำให้ตัวเองก็ชอบร้องเพลงไปด้วย แล้วก็กล้าแสดงออกแบบเค้า เราก็เคยไปประกวดร้องเพลง หรือ อ่านทำนองเสนาะ อะไรแบบนั้นด้วย เราว่า พ่อเนี่ยสายผู้นำ ส่วนแม่เนี่ยก็สายแสดงออก มันก็เลยรวมมาอยู่ในตัวเรา เป็นเราแบบทุกวันนี้
“อะไรไม่ใช่ก็อย่าไปฝืน ถ้าฝืนต่อไปมันจะไม่สำเร็จ และไม่มีความสุข”
ในช่วงวัยเรียนนั้นคือ มีความตั้งใจจะเป็นหมอ เพราะถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กว่าเป็นอาชีพที่ดี มั่นคง แล้วตั้งแต่ประถมฯ เราก็เรียนเก่ง พอมัธยมฯ ได้โควต้าไปเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดเราก็เลือกเรียนสายอังกฤษ-คณิตเลย เพราะคิดว่าเนี่ยจะเป็นหมอต้องเรียนสายนี้นี่แหละ แต่ปรากฏว่าเราเรียนคณิตศาสตร์แทบไม่ได้ จนถามตัวเองว่าชั้นมาทำอะไรอยู่ที่นี่ จึงเริ่มหาหนทางออก คิดไปคิดมาเราก็ชอบภาษาอังกฤษอาจจะไม่เก่งแต่ก็ชอบมากกว่าเลข ทำให้ตอน ม.ปลายจึงตัดสินใจย้ายตัวเองไปเรียนสาย อังกฤษ-ฝรั่งเศส แล้วก็เริ่มมองหาสายความรู้นิเทศศาสตร์ สายแสดงออกมากขึ้น เราว่าจุดเปลี่ยนตอนนั้นที่พาตัวเองไปค้นหาแนวทางใหม่คือ เราคิดง่ายๆ ว่า ถ้าอะไรไม่ใช่ก็อย่าไปฝืน ถ้าฝืนต่อไปมันจะไม่สำเร็จและไม่มีความสุข
คือ ตอนนั้นใครจะเรียนนิเทศ ก็ต้องจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ อะไรแบบนั้น แต่ด้วยความที่ปลูกตัวเองมา เรื่องของการเรียนที่ไม่ค่อยได้แข่งขันกับใคร ได้โควต้าตลอด ไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะก็ได้เกรดดี ทำให้เราไม่มีความพยายามตั้งใจ รวมกับไม่มีหัวในการแข่งขัน จึงทำให้สอบไม่ติด สุดท้ายก็ไปอ่านนิตยสารเธอกับฉัน ไปเจอดาราคนนึงชื่อพี่หมอก ณัฐสิมา คุปตะวาทิน เราก็เอ้ย!!! ดาราก็เรียนนิเทศที่นี่ ม.ราชภัฏฯ ก็มีนิเทศศาสตร์นี่นา จึงมาสอบที่นี่ แล้วก็สอบติด
ซึ่งช่วงเรียนที่สวนสุนันทา เราฉายแววความเป็นเรา เรื่องความกล้าแสดงออก ความเป็นผู้นำ รุ่นพี่ก็เห็นแวว บวกกับเราเป็นมนุษย์เครือข่าย ชอบเจ๊าะแจ๊ะ ตามรุ่นพี่ไปทำอะไรเยอะแยะ ทำให้เราไม่ค่อยได้คบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพราะเรารู้สึกว่ารุ่นพี่จะพาเราไปสู่เป้าหมายในการทำงานต่างๆ ได้ เช่น ทำเสียงตามสายของมหาวิทยาลัย ไปจัดรายการวิทยุของกรมการรักษาดินแดน แล้วก็ได้ไปสอบใบผู้ประกาศฯ
เราก็เริ่มไปทำงานจริงจังกับสถานีวิทยุเพื่อการศึกษาเป็นผู้ประกาศคั่นรายการ มีรายได้ตั้งแต่สมัยเรียน รวมถึงเราได้มีโอกาสไปทำงานพิเศษ เป็นผู้นำค่ายเยาวชนของ AIS IT Camp ซึ่งเป็นงานพิเศษที่แตกต่างออกไปอีก แล้วต่อมาเรายังได้ออกไปสู่โลกภายนอกกว้างขึ้น ได้เรียนรู้ธรรมชาติ จริง ๆ ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยไกด์ทัวร์ได้ทำอะไรใหม่ ๆ เรียกว่าชีวิตตอนนั้นได้ทำอะไรเยอะ หลากหลาย นอกจากการเรียน ซึ่งมันเป็นพื้นฐานที่แข็งแรงให้ตัวเองมาจนทุกวันนี้
เริ่มชีวิตการทำงานจริง เราได้ไปทำงานที่สถานีวิทยุแห่งหนึ่งเป็นครีเอทีฟ รับผิดชอบทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับเบื้องหลังรายการฯ แล้วตอนนั้นปัญหาแรกที่เจอคือ เจ้านาย เป็นแบบที่เราไม่โอเค เพราะเราไม่ชอบคนที่พูดอย่าง ทำอย่าง เลยตัดสินใจว่าจะไม่ทน เพราะไม่มีความสุข ก็เลยออก
แล้วก็ไปทำงานบริษัทออแกไนซ์เซอร์แห่งนึง แบบสัญญาจ้างซึ่งก็ได้ทำงานกีฬาใหญ่ระดับประเทศงานนึง เป็นงานที่มีความกดดันสูงมาก เราได้ใช้ศักยภาพในการทำงานเยอะมาก แต่งานหนักหามรุ่งหามค่ำ จนชีวิตมันขาดอะไรไปบางอย่าง พอหมดสัญญาจ้างเลยไม่ไปต่อ แต่ก็เป็นงานที่จดจำได้ดีมากที่สุดงานนึงในชีวิต เพราะทำให้เห็นคุณค่าของคำว่าโอกาสที่ผ่านเข้ามา แล้วเราไม่ปล่อยให้มันผ่านไป งานนี้ก็มีส่วนทำให้เราสรุปความคิดที่ชัดเจนให้ตัวเองด้วย เพราะเราตั้งใจว่า เราอยากทำงานที่มีความสุข และได้เงินด้วย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกว่า งานอะไรนะที่จะทำแล้วได้ทั้งเงินทั้งความสุขด้วย
ต่อมาเราก็ไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เป็นฝ่ายกิจกรรมพิเศษ แต่มาเจอปัญหาเดิม คือ เรื่องของคนทำงานร่วมกัน ที่พูดอย่างทำอย่าง ทำให้เรารับไม่ได้ ก็ตัดสินใจออกจากงานอีกครั้ง บวกกับได้งานใหม่อีกแห่งด้วย เราไปทำงานวิทยุที่เราถนัด กับบริษัทโปรดักชั่นแห่งนึง พอทำงานไประยะนึง เจ้านายก็มาถามว่าอยากทำงานโทรทัศน์ไหม เราก็ตอบรับทันทีเพราะมันคือโอกาส การทำงานโทรทัศน์เนี่ยมันคลิ๊กเราที่สุด แต่มันก็มีจุดเปลี่ยนอีก เมื่อวันนึงอยู่ ๆ เราหันไปมองคนตำแหน่งสูง ๆ ในบริษัทฯ แล้วเราก็รู้สึกว่า เราไม่มีวันก้าวไปเป็นเค้าได้เลย จนกว่าเค้าจะตาย หรือ ออกจากงาน มันคือวัฒนธรรมองค์กรที่มีเรื่องของอาวุโส บวกกับตอนนั้นเราอายุ 25 เรารู้สึกว่า ชีวิตมันแค่นี้เหรอ เราก็ไม่รู้ว่าเราตามหาความหมายอะไรในชีวิต
จนวันนึงเราก็ไปเจอทีมงานประกันที่เจ๋งมาก หัวหน้าเค้าเป็นคนเก่งระดับต้น ๆ ในสายงานเค้าแล้วเราก็ศรัทธาเค้า ทำให้เราตัดสินใจออกจากงานมาขายประกันนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตการเป็นฟรีแลนซ์ แต่เราทุกข์พอควรเพราะเงินทองมันไม่คล่องตัว การขายประกันถูกปฏิเสธแต่งานประกันชีวิตมันก็สร้างเรา คือเราได้ฝึกฝนเรื่องงานขาย อยู่กับผู้คน และอยู่กับคำปฏิเสธได้ พอสุดท้ายมันเป็นจุดพลิกอีกครั้งคือ คนที่เราศรัทธาเค้าต้องย้ายไปอยู่บริษัทอื่นบวกกับมีเรื่องกระทบใจทำให้เรามีจุดเปลี่ยนอีกแล้ว
ตอนนั้นเรากลับไปทำงานโทรทัศน์อีกครั้งที่บริษัทเดิม เจ้านายเรียกกลับไป ในตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น แล้วก็ได้ทำรายการโทรทัศน์อีกช่องนึงด้วยควบคู่กันไป เราได้ทำงานเยอะมาก ได้เงินเยอะมาก แล้วก็เป็นจุดที่ทำให้คนเกลียดเราเยอะมากด้วยเช่นกัน แต่เราไม่แคร์ เพราะเรายึดความสุขของตัวเองเป็นสำคัญ แล้วไม้บรรทัดเราตรงมาก คือ ใครที่ไม่ได้อยู่ในเส้นความสุขของเรา ทำงานไม่เข้าทาง ก็ออกไปซะ เราไม่มีความเมตตาอะไรเลย มันเป็นจุดที่เราก็เห็นตัวเองนะ เหมือนเราตัวคนเดียว แล้วสุดท้ายมันมีจุดพลิกอีก ก็คือ เราถูกลดเงินเดือน เพราะรายการที่ทำไม่ได้ไปต่อ เรารู้สึกว่าการลดเงินเดือนมันคือการลดศักดิ์ศรีของเรา เลยลาออกทันที แต่พอเราไปทำงานที่อื่น ก็ไปเจอปัญหาเดิม คือ เจอคนพูดอย่างทำอย่างอีกแล้ว เราก็คิดทันที ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราเจอปัญหาซ้ำ ๆ การเปลี่ยนงานเริ่มไม่ใช่คำตอบ
ตอนนั้นเราได้โอกาสไปอบรมคอร์ส คอร์สนึง ที่กำลังมีชื่อเสียง เราอยากรู้ว่าคอร์สนี้จะได้ผลจริงไหม เรายอมจ่ายเงินลงเรียนทุกคอร์ส แล้วมันก็มีผลทำให้ชีวิตเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราได้เห็นจุดอ่อนของตัวเอง จุดที่เราผลักคนอื่นออกไปจากชีวิต ได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช้ศูนย์กลางของจักรวาล เริ่มเห็นว่าการที่เราต่อต้านคนที่แตกต่างจากเรา ทำให้คนเหล่านั้นไม่กล้ามาพูดความจริงกับเรา นั่นมันปลดล็อกทำให้เราเห็นตัวเอง มีความสุขมากขึ้น แล้วเราก็ตัดสินใจทำงานเป็นโค้ชอาสาสมัคร อยู่ 7 ปี แบบไม่ได้เงินเลย แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้การจัดฝึกอบรมสัมมนาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันทำให้เราเอาประสบการณ์ทำงานมาต่อยอดการมาทำงานทุกวันนี้ เราได้ค้นพบงานที่มีความสุขด้วย ได้เงินด้วย ไม่ว่าจะด้านโปรดักชั่น หรือ ออนไลน์ ตอนนี้คนที่ทำงานกับเรา กล้าพูดเรื่องต่าง ๆ ตรงไปตรงมากับเรา เรากับลูกค้ากล้าพูดเรื่องเงิน ตรงไปตรงมาที่สุด ลูกค้ารักเรา เราเองก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น
เอาตรงๆ สมัยนึงเราก็เป็นคนแสวงหาความรัก แต่ตอนนั้นหน้าตาแบบนี้ ไม่ใช่พิมพ์นิยม จึงไม่ค่อยมีคนเข้ามา ทำให้มีชีวิตโสดแบบไม่ตั้งใจอยู่นานเลย ซึ่งจุดนี้ก็น่าจะมีผลให้เราเป็นคนแบบนี้ด้วย คือ เราพยายามทำตัวเป็นแสงสว่างให้คนเห็น เพราะอยากได้ความรัก แต่เราก็มักได้ความรักมาแบบบังเอิญ บวกกับเราเป็นมนุษย์ที่กล้า เราก็เลยมักจะได้แฟนเป็นคนต่างชาติ ตอนนั้นอายุ 25 ซึ่งคนนี้เราคิดว่าใช่ที่สุด เป็นผู้ชายในฝัน แต่สุดท้ายเป็นความรักระยะไกล มันก็จบลงไป
ที่ผ่านมาเราเคย รักคนที่เรารัก เราเสียใจมากเพราะเค้าต้องกลับประเทศ โดยไม่ยอมทำอะไรเพื่อเรา ครั้งต่อมาเราก็เลยตัดสินใจหันกลับมารักคน ที่เค้ารักเรา เพราะคิดว่ามันจะดีกว่า แต่สุดท้ายก็พบว่า เค้าก็ไม่ได้รักเรา เค้ารักตัวเอง เค้าเข้ามาเพื่อหวังพึ่งพิงเรา ทำให้เรารู้สึกแย่มาก มันก็จบลงไปอีก ซึ่งช่วงนั้นก็มีผู้ชายเข้ามาอีกหลายคน มาชอบเรา มีทั้งหนุ่ม ทั้งแก่ ทั้งมีลูกมีเมียแล้ว ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตความรักมันมีแค่เซ็กส์หรือไง แต่มันทำให้เราเอะใจอีกครั้ง มันเป็นวังวนความสัมพันธ์ที่เราไม่มีความสุขและไม่เวิร์ค ทำให้เราตัดสินใจเป็นใช้ชีวิตโสดอีกครั้ง แต่ก็เป็นชีวิตโสดแบบแสวงหาผู้ชายที่ใช่ ที่คลิ๊ก ที่โดน ยังมีหัวใจหวั่นไหวกับคนนั้นคนนี้เสมอ แม้วันนั้น เราจะบอกใคร ๆ ว่าเป็นโสด แต่มันเป็นโสดแบบไม่จริง
คงเป็นวันที่เราค้นพบอีกมิตินึง คือ เราเริ่มใช้ชีวิตใหม่ เต็มที่ ไปเที่ยว ไปทำนี่นั่นโน่นแบบไม่ได้สนใจอะไร ว่าใครจะชอบ ไม่ชอบเรา แล้ววันนึงเราไปต่างประเทศ ประเทศนึง จู่ ๆ ก็มีผู้ชาย Direct message มาใน IG เราเยอะมาก เราเข้าใจเลยว่า วันนั้นเราต้องมีความสุขมาก ๆ อยู่แน่ ๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ค้นพบตัวเอง ปลดล็อกตัวเองหลายอย่าง มีความสุขถึงที่สุด จึงมีคน ๆ นึงเข้ามา เราก็เลยตัดสินในลองคุย แต่ก็เป็นการคุยกันระยะไกล มาบวกกับเกิดโควิดทุกอย่างก็ยากขึ้นไปอีก ไปมาหาสู่กันไม่ได้ ซึ่งทำให้เราพอมีเวลาว่าง
จู่ ๆ เราก็คิดจะไปบวช แบบบวชจริงจัง สละผม ตอนนั้นเรานั่งสวดบทขอขมากรรมอยู่ แล้วมันมีบทสวดบทนึงที่เรามักข้ามไป เป็นบทสวดเกี่ยวกับการบวช ณ วันนึงเราได้ยินรุ่นพี่คนนึงพูดขึ้นว่า การบวชเป็นอานิสงค์อย่างนึงที่มนุษย์ควรจะทำ เราก็ เออ!!! ทำไมเราไม่ทำนะ ถ้าชาติหน้าเราเกิดเป็นหมาเป็นแมวเราก็บวชไม่ได้นะ เราก็เลยตัดสินใจบวชทันที เพื่อจะได้เรียนรู้ และศึกษาธรรมะ ที่เราปลงผมไม่ใช่เพราะอยากเท่ หรืออกหัก รักคุด ตุ๊ดเมินอะไรนะ แต่เราอยากรู้ว่า เราจะอยู่กับการไม่มีผม ไม่มีคิ้วได้ไหม จะรู้สึกยังไง แต่พอบวชจริงๆ จะบอกว่า เรารู้สึกเบาและว้าวเลย ให้ไปบวชอีกกี่รอบก็ได้ เราบวชอยู่ 21 วัน มันทำให้เราตกตะกอนอะไรอีกหลายอย่าง และเราก็ได้กลับไปอยู่วัด ปฏิบัติธรรมอีกเรื่อย ๆ แต่เราไม่ได้กลับไปแสวงหาอะไรเพิ่มนะ สำหรับเราคือ เป็นการเอาสิ่งที่ตั้งมั่น ยึดมั่น ไปวางลง ทุกวันนี้ชีวิตเราเป็นชีวิตโสดที่มีความสุขนะ แต่เราก็ต้องคลายความสุข เพราะมันไม่จีรัง เดี๋ยวมันก็ทุกข์ ดังนั้นเราจึงอยากฝึกตัวเองไม่ให้ติดทั้งสุขและทุกข์ ซึ่งมันเป็นจิ๊กซอว์ชีวิตที่ลงตัวมาก ๆ
ตอนนี้วัตถุประสงค์ของความเป็นมนุษย์ของเราชัดเจนมากขึ้นเราใช้ ชีวิตโสด จริง ๆ อย่างเข้าใจมากขึ้น ไม่แสวงหาอีก กับคนที่คุยด้วยทางไกลก็จบกัน พอบวชจบ เราหันมารีบิซิเนสเราใหม่ บริหารองค์กรเราใหม่ เพื่อเป้าหมายที่ว่า เราต้องการเงินเพื่ออะไร และธุรกิจตอนนี้ทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อช่วยเหลือผู้คน ให้เค้าสร้างงาน สร้างรายได้และมีความมั่นใจในยามวิกฤตแบบนี้ และเงินมันคือตัวช่วยซัพพอร์ทกันอย่างไร ในส่วนของงานโปรดักชั่นก็ยังทำต่อ ตอนนี้ชีวิตลงตัว
เราก็มาเติมเต็มบางส่วนด้วยการเลี้ยงแมวจรซึ่งเรามีความสุขมาก นอกจากนั้นเราก็ดูแลตัวเองด้วยกีฬา เมื่อก่อนเราก็ปั่นจักรยาน แต่พอมีโควิดเราก็มาดูแลตัวเองแบบวิถีธรรมชาติเพื่อให้ร่างกายเราสามารถไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ เราพยายามรักษาสมดุลให้ทุกอย่างมันพอดี เรามีงาน มีหน้าที่ดูแลพ่อแม่ และใส่ใจผู้คนในชีวิตให้ดีที่สุด
“เราอยากบอกว่า ณ วันนี้เราไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง แต่เราจะเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์เพื่อคนอื่นและสังคม ด้วยความสามารถของตัวเราเอง นี่คือความเป็นเราที่สุดแล้วตอนนี้”
ก่อนจบการสัมภาษณ์คุณชมภู่ยังบอกกับเราว่า ชอบที่สุดอีกอย่าง คือ การได้สร้างความสุข และสร้างแรงบันดาลใจ เติมไฟให้คนอื่นรอบตัว จึงหวังว่าแนวคิด พลังความสุขความโสดแบบคุณชมภู่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับสาว ๆ ได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ และขอให้สาวๆ ตามหาจิ๊กซอว์ชีวิตในแบบของคุณได้เจอ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินอิสระ หรือว่าอาชีพไหนๆ ก็ให้สร้างเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจนเพื่อที่จะได้พบความสุขและความหมายของชีวิตในแบบของคุณกันนะคะ
Inspire Now ! : จะสุข จะทุกข์ มันไม่ได้อยู่กับเรานานเลย ฝึกวางสิ่งที่ยึดติด ถือมั่นลง เราก็จะมีชีวิตส่วนตัว ชีวิตการงาน ชีวิตคู่ หรือ ชีวิตโสด ที่มีความสุขในแบบของเราได้ |
---|
DIY INSPIRE NOW ทำให้ฉันอยากเป็นคนโสดที่ดีกว่าหรือเปล่า ? เรื่องราวของคุณชมภู่ทำให้สาวๆ อยากพัฒนาตนเองในการใช้ชีวิตหรือเปล่าคะ ? ลองมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันนะ ♡
ป.ล. นี่เป็นการทำบทสัมภาษณ์ครั้งแรกของเราใน DIYINSPIRENOW ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ด้วยนะคะ
ทักษะการฟัง หมายถึง อะไร มีความสำคัญยังไง มีแล้วดียังไง ชวนฝึกฟัง ไม่ใช่แค่ได้ยิน ฟังเก่งแล้วชีวิตดีขึ้นได้ยังไง มาทำความเข้าใจ แล้วฝึกไปด้วยกัน
แนะนำหนึ่งในคุณธรรมของคนดี ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี หมายถึง อะไร ดีต่อชีวิตของเราจริงมั้ย ต้องทำยังไง มาเรียนรู้ และปรับใช้ไปด้วยกัน
ชวนบริจาคหนังสือ รับถึงบ้าน หรือ ส่งไปรษณีย์ นอกจากหนังสือก็สามารถรวมอย่างอื่นได้ ใครมีของเหลือใช้ อยากส่งต่อ ลองดู 10 สถานที่ที่เราแนะนำได้เลย